คำสั่งคำร้องที่ 2188/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์ฟัง กับหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 3 มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกา ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ที่สั่งงดการไต่สวนคำร้องขอให้เรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทน และไต่สวนคำร้องต่อไปก่อน อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับโจทก์ ต้องบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในหน้า 7 ว่า “คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 คู่ความมิได้ฎีกาจึงยุติลงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1” จำเลยที่ 2จึงไม่มีส่วนได้เสียอันใดที่จะมาร้องขอให้มีการเรียกผู้เข้ามา แทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะในชั้นพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งมี เฉพาะโจทก์และจำเลยที่ 3 เท่านั้นที่เป็นคู่ฎีกากัน ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 2 สิงหาคม 2538ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็น คู่ความแทนจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 เห็นว่า การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาของศาลชั้นต้น โดยไม่ได้จัดให้มีทายาทของจำเลยที่ 1 ผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทน เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งคดีนี้จำเลยที่ 2 เป็นคู่ความในคดีด้วย การบังคับคดีมีผลกับจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้มีการเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอศาลอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งงดการไต่สวนคำร้องขอให้เรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทนที่และให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องต่อไป และอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่ หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน จำนวน 359,537.51 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 368,930.91 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา (อันดับ 203) ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน ศาลชั้นต้นหมายนัดโจทก์และจำเลยทั้งสามมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลฎีกา และจะดำเนินการยื่นคำร้อง ขอเรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทนที่ต่อไป ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมจำเลยที่ 2นำใบมรณบัตรที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายมาแสดงต่อศาล โดยยื่นมาท้ายคำร้องขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลฎีกา และโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางระวีรัตนวิศ นางสาวดวงกมล รัตนวิศและนางสาวสสิธรรัตนวิศ ทายาทจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียก บุคคลดังกล่าว และนัดไต่สวนวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 ถึงวันนัดไต่สวน ทนายโจทก์มาศาล จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบนัดแล้วไม่มา ส่วนบุคคลที่ศาลหมายเรียกให้เข้ามา เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ไม่มา โดยยังไม่ได้รับแจ้งผล การส่งหมาย ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า ในชั้นฎีกา คงมีแต่เฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 3 เท่านั้นที่เป็นคู่ความกัน ในชั้นนี้ กรณีจึงไม่จำต้องมีการเรียกผู้เข้ามาเป็นคู่ความ แทนที่จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งให้งดการไต่สวนและยกเลิกหมายเรียก บุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ทนายโจทก์แถลงว่าต้องเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครหลายครั้งแล้ว จึงขอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เห็นสมควร อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้โจทก์ฟัง และหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 3 และทนายมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 31 สิงหาคม 2538 เวลา 9 นาฬิกา ในวันนัดจำเลยที่ 3 ทราบนัดแล้วไม่มา ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยถือว่า อ่านให้จำเลยที่ 3 ฟังตามกฎหมายแล้ว (อันดับ 180,187 แผ่นที่ 2,188,192,196,197,199, 203,209,217) ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 1และที่ 2 คู่ความมิได้ฎีกา จึงยุติลงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ฯลฯ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ ฯลฯ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 เพราะพยานหลักฐานไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 3กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2538ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง (อันดับ 211,212) จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นเรื่องขอให้เรียกผู้เข้ามาแทนที่คู่ความผู้มรณะในชั้นฎีกาจึงให้ส่งไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณา (อันดับ 214)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คงมีแต่เฉพาะโจทก์และจำเลยที่ 3 ที่เป็นคู่ความในชั้นฎีกา จึงไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องตั้งคู่ความ แทนที่จำเลยที่ 1 ที่ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดการไต่สวนการขอเข้าเป็นคู่ความ แทนจำเลยที่ 1 ผู้มรณะและอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้โจทก์ และจำเลยที่ 3 ฟัง จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share