แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคำสั่งที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นอันเป็นคำสั่งที่ถึงที่สุด โจทก์ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ไม่ได้ ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยความผิดที่ได้ฟ้อง จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 52)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,353,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับ
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์สั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยนำเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด สินธุ์เจริญลาภขนส่งไปใช้โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัว คดีของโจทก์ไม่มีมูล โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด สินธุ์เจริญลาภขนส่ง เป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ที่แก้ไขแล้ว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 45)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 48)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ ให้ยกคำร้อง