แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า มูลคดีนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะใช้กฎหมายใหม่บังคับ และคดีนี้มีทุนทรัพย์ในขณะที่ยื่นฟ้องเป็นจำนวน 51,593.75 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับเก่า การที่จะนำกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใหม่มาใช้บังคับกับฎีกาของจำเลย จึงเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 78)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ให้ผู้อุทธรณ์นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 5 วัน แต่ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินมาวางตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 83)
คำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบกับมาตรา 247 ทั้งมิได้วางเงินหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงถือว่าทิ้งคำร้องตาม มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ให้ยกคำร้องของจำเลย