แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าแม้ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตามแต่ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่าคำเบิกความเป็นความเท็จหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่าคำเบิกความไม่เป็นความเท็จซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาแล้ว คดีจึงมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงว่าคำเบิกความไม่เป็นความเท็จ ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อ 2.1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา
ทนายโจทก์ทั้งสองเห็นว่า ตามฎีกาข้อ 2.1 ข้อเท็จจริงที่ใช้วินิจฉัยประเด็นทั้งสองข้อ หาใช่ข้อเท็จจริงอันเดียวกันไม่และการที่จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทแล้วจำเลยจะได้ครอบครองโดยปรปักษ์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันต่อไป ส่วนในฎีกาข้อ 2.2 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความชัดแจ้งว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่พิพาทอยู่ด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่พิพาทอยู่เพียงผู้เดียวจึงเป็นอันยุติแล้วการวินิจฉัยข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทแต่เพียงผู้เดียวว่าเป็นความเท็จหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หาใช่ปัญหาข้อเท็จจริงไม่ เพราะศาลไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันใดเกี่ยวกับการครอบครองที่พิพาทของโจทก์และจำเลยต่อไปแล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 3)
ทนายโจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อ 2.1 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อ 2.2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้องของโจทก์