คำสั่งคำร้องที่ 212/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ล้วนแล้วเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ในปัญหาเรื่องฟ้องเท็จ โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า คำฟ้องของพนักงานอัยการไม่เป็นฟ้องเท็จ ฟ้องของจำเลยจึงไม่เป็นฟ้องเท็จด้วยนั้น เป็นการวินิจฉัยโดยปราศจากพยานหลักฐานในสำนวนสนับสนุนอันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายมิใช่ข้อเท็จจริงและปัญหาเรื่องเบิกความเท็จ โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีขัดกับพยานหลักฐานในสำนวน อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การที่จำเลยเชื่อว่าโจทก์สั่งรื้ออาคารแม้จะเป็นความเท็จแต่ก็ขาดเจตนานั้น จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงเช่นกัน สำหรับปัญหาเรื่องแจ้งความเท็จนั้น โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับในประเด็นที่โจทก์ได้อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานในท้องสำนวนอันเป็นการวินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นั้นจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ ฎีกาของโจทก์ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 52)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172,173,174,175,177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยแจ้งความอันเป็นเท็จ ฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จนั้นหามีมูลความผิดไม่ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 49)
ทนายโจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 50)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137,172 และ 173 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังได้ว่าเป็นการแจ้งความเท็จจึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้
สำหรับความผิดฐานฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเท็จและมิได้เบิกความเท็จ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยขาดเจตนาอันเป็นการพิพากษายืนในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 การที่โจทก์ฎีกาว่าศาลล่างกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยปราศจากหลักฐานในสำนวน และวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งไม่เป็นความจริงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงมิใช่ข้อกฎหมาย ให้ยกคำร้อง

Share