คำสั่งคำร้องที่ 2050/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์โจทก์เห็นว่า คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองนอกจากจะแตกต่างกันแล้วยังเป็นการพิพากษาคดีที่ไม่ถูกต้องและไม่ตรงต่อความเป็นจริงเป็นการพิพากษาคดีนอกฟ้องนอกสำนวน ผิดไปจากพยานหลักฐานในท้องสำนวนอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 213แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองไม่มาศาลตามหมายเรียก ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับและให้จำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาได้ตัวจำเลยที่ 1 มาศาลศาลชั้นต้นจึงยกคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ขึ้นพิจารณาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 199)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 200)

คำสั่ง
ฎีกาของโจทก์ที่อ้างว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกฟ้องนอกประเด็น และนอกสำนวนนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตรงตามข้อหาในคำฟ้องและตรงตามพยานหลักฐานในสำนวน มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกฟ้อง นอกประเด็นและนอกสำนวนดังฎีกาของโจทก์ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า ควรเชื่อฟังพยานหลักฐานของโจทก์ ไม่ควรเชื่อฟังพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share