แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คำให้การของจำเลยไม่มี ประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองที่พิพาท จึงไม่สามารถอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ โจทก์ได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา และเป็นเรื่อง ที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมาย ดังกล่าวด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย ให้แก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 95) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การของจำเลยมีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ถึงจะวินิจฉัย ปัญหาดังกล่าวก็ไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยจำเลยเป็นฝ่าย ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนตลอดมามีผลเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการ วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ