แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า หนังสือรับรองของผู้ใหญ่บ้าน เอกสารหมาย ล.2 และหนังสือรับรองสารวัตรกำนัน เอกสารหมาย ล.3 เป็นเอกสารสำคัญในคดีหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 จำคุก 6 เดือนคำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 81)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรู้ว่านางสาวเพชรจินดาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยฝ่าฝืนกฎหมายหนังสือของนายปรีชาผู้ใหญ่บ้านกับนายนนท์สารวัตรกำนันตามที่จำเลยอ้างนั้นเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องพยานจำเลยไม่อาจนำมาหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือราชการควรรับฟัง ขอให้รับฟังมาวินิจฉัยคดียกฟ้องโจทก์ เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่ามีน้ำหนักควรเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงใดหรือไม่จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ให้ยกคำร้อง