แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโท ป. หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นการประกันตัว ส.แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวด. หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกัน พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (7 มิถุนายน 2533)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาจำเลยในข้อ 2.1และ 2.4 ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยส่วนฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า มีการฉ้อฉลในการทำสัญญาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกัน และข้อ 2.3 ที่ว่าโจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องโดยชอบหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3ของจำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า สัญญาประกันพิพาทเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลโดยพันตำรวจโทประพงษ์ ระวิรรณ หลอกลวงให้จำเลยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการประกันตัวนายสุวัฒไชย วงศ์สนม แต่ทำสัญญามีข้อความเป็นการประกันตัวนายดำรงค์หรือปิง บุญจงรักษ์ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 ที่ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบนัดตามเงื่อนไขของสัญญาประกันพิพาทอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แล้วหรือไม่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และข้อ 2.3ดังกล่าวจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”