คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรฯ การที่คู่ความไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถานไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ศาลย่อมทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเท่าที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนความ การที่ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนวันนัดชี้สองสถานโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นไม่ว่าข้อเท็จจริงจะได้ความว่าทนายโจทก์ติดว่าความจริงจนไม่อาจมาศาลได้ก็ตามก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่ศาลจะต้องเลื่อนการชี้สองสถานออกไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถาน จึงชอบแล้ว
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานพ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรฯ ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 30 วัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์จึงชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น เมื่อโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลโจทก์จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบพยานที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ จำเลยไม่ติดใจสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีเพราะไม่มีพยานมาสืบ จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ที่ 1 ฟ้องจำเลยทั้งสี่ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินภาษีจำนวน 63,033.16 บาทแก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และโจทก์มิได้มีคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาและวินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีพร้อมด้วยเบี้ยปรับและเงินเพิ่มโดยชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสอง (ที่ถูกโจทก์ที่ 1) มีภาระการพิสูจน์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสอง(ที่ถูกโจทก์ที่ 1) ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบให้เห็นได้ว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายอย่างไร คดีจึงฟังได้ว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ (ที่ถูกโจทก์ที่ 1) ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย (ที่ถูกจำเลยที่ 1ถึงที่ 3)

โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานวันที่ 24 พฤษภาคม 2543เวลา 13.30 นาฬิกา ในวันนัดชี้สองสถาน ทนายโจทก์ที่ 1 มอบฉันทะให้นายอุยลี แซ่ซู เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนการชี้สองสถานมายื่นโดยอ้างว่า ทนายโจทก์ที่ 1 ติดว่าความที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีจึงไม่อาจมาว่าความที่ศาลภาษีอากรกลางได้ ทนายจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 แถลงคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสอง (ที่ถูกโจทก์ที่ 1) มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาตามข้อ 10 วรรคหนึ่งของข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2539 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสอง(ที่ถูกโจทก์ที่ 1) มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า30 วันตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2539 ข้อ 10 วรรคหนึ่งทั้งยังไม่ได้อ้างเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ จึงมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ทั้งสอง (ที่ถูกโจทก์ที่ 1) และไม่อนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถานแล้วทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยให้โจทก์ทั้งสอง (ที่ถูกโจทก์ที่ 1) นำสืบก่อนแล้ว จำเลยทั้งสาม(ที่ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3) นำสืบแก้ ทั้งมีคำสั่งต่อไปว่าเมื่อโจทก์ทั้งสอง(ที่ถูกโจทก์ที่ 1) ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบจำเลยทั้งสาม (ที่ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3) แถลงไม่ติดใจสืบพยานคดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา นัดฟังคำพิพากษา ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 มีว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีในวันชี้สองสถานและคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่พิพากษายกฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางยกคำร้องขอเลื่อนคดีไม่รับบัญชีระบุพยานและชี้สองสถานไปเลยโดยมิได้วินิจฉัยถึงตัวคำร้องขอเลื่อนคดี ทั้งได้วินิจฉัยก้าวล่วงเข้าไปสู่เนื้อหาแห่งคดีโดยไม่ให้โจทก์สืบพยานเป็นการฝ่าฝืนต่อบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร เห็นว่า ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2539 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 หมวด 3 ได้บัญญัติกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานไว้โดยชัดเจนในข้อ 16 บทบัญญัติดังกล่าวมีขึ้นเพื่อในกรณีคู่ความมาศาลก็จะได้สอบถามให้ได้ความชัดเจนในประเด็นข้อพิพาท และข้อเท็จจริงบางอย่างที่คู่ความอาจแถลงร่วมกันได้ อย่างไรก็ดีถ้าในวันนัดชี้สองสถานคู่ความไม่มาศาลก็ให้ศาลทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 16 และถือว่าคู่ความผู้ไม่มาศาลได้ทราบกระบวนพิจารณาในวันนั้นแล้ว ดังนี้ การที่คู่ความไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถานจึงไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลศาลย่อมทำการชี้สองสถานไปได้ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเท่าที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนความ ดังนี้ การที่ทนายโจทก์ที่ 1ยื่นคำร้องขอเลื่อนวันนัดชี้สองสถานโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีไม่ว่าข้อเท็จจริงจะได้ความว่าทนายโจทก์ที่ 1ติดว่าความที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีจริงจนไม่อาจมาศาลได้ก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่ศาลจะต้องเลื่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นชี้สองสถานออกไปแต่อย่างใด ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการชี้สองสถานจึงชอบแล้ว นอกจากนี้คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานในวันที่ 24 พฤษภาคม 2543แต่ได้ความว่าโจทก์ที่ 1 ยื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 25 เมษายน2543 ดังนั้น การยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์ที่ 1 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดดังกล่าว ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 30 วันที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ที่ 1จึงชอบแล้ว ฉะนั้น เมื่อได้ความว่าคดีนี้ศาลภาษีอากรกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 นำสืบก่อนทุกประเด็น เมื่อโจทก์ที่ 1 มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล โจทก์ที่ 1จึงไม่อาจนำพยานเข้าสืบได้เพราะเป็นการนำสืบพยานที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ติดใจสืบพยาน แล้วพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 แพ้คดีเพราะไม่มีพยานมาสืบ จึงชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share