แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยขอเปลี่ยนหลักประกันจากเดิมซึ่งเป็นพันธบัตรจำนวนเงิน 270,000 บาท เป็นหลักประกันใหม่ซึ่งเป็นพันธบัตรจำนวนเงิน 400,000 บาท โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
จำเลยยังมิได้ชำระค่าคำร้อง 40 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 71,668.77 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน71,668.77 บาท นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2525 อันเป็นวันผิดนัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 5,478.25 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์โดยจำเลยได้นำพันธบัตรเงินกู้ในปีงบประมาณ 2525 จำนวนเงิน270,000 บาท 1 ฉบับ ของจำเลยและคุณหญิงดิษฐ์การภักดีมาวางเป็นหลักประกันและจำเลยกับคุณหญิงดิษฐ์การภักดีร่วมกันทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 52)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา (อันดับ 66,65 แผ่นที่ 2)
ศาลฎีกาสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยว่า พิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกาโดยให้ถือสัญญาที่ทำไว้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งว่านัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องหลักประกันตามที่จำเลยเสนอวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นสอบถามทนายโจทก์แล้ว ทนายโจทก์แถลงไม่คัดค้านในการที่จำเลยนำพันธบัตรรัฐบาลตามคำแถลง (คำร้อง)มาขอเปลี่ยนหลักประกันฉบับเดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมคำแถลง(คำร้อง) ฉบับลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 พร้อมต้นฉบับพันธบัตรที่จำเลยเสนอมาในวันนัดพร้อม ใบมอบฉันทะและรายงานกระบวนพิจารณาวันนัดพร้อมส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้เปลี่ยนหลักประกันใหม่ได้ตามคำร้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้เจ้าของหลักประกันทำสัญญาค้ำประกันใหม่และแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบต่อไป