คำสั่งคำร้องที่ 17/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้งดการไถ่ถอนจำนองทรัพย์ที่เป็นประกันหนี้ในจำนวนเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยจำเลยจะขอไถ่ถอนอาคารชุดที่จำนองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและขอวางเงินหรือหลักประกันเพิ่มขึ้นอีกให้เท่ากับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องหรือตามที่ศาลเห็นสมควร นั้นเป็นคำร้องอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 228(2),247

ย่อยาว

ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ อำนาจที่จะสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์โดยเฉพาะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาได้ไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองเห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์เรื่องยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่นั้น เป็นคำสั่งที่เกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณา ซึ่งคู่ความมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228 และมาตรา 247 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์ได้รับส่วนคำร้องแล้ว (อันดับ 8)

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันสองสำนวนแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์รวมสองสำนวนเป็นเงินทั้งสิ้น 25,766,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่18 พฤศจิกายน 2528 และของต้นเงิน 25,266,000 บาท นับแต่วันที่8 ธันวาคม 2528 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 25927 และอาคารชุด 76 ห้องชุดในที่ดินโฉนดเลขที่ 25914ตำบลบางบำหรุ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เอาชำระหนี้โจทก์จนครบ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก กับให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างอุทธรณ์ เฉพาะโจทก์ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่ากรณีไม่ใช่เรื่องขอทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 แต่พอแปลได้ว่าเป็นเรื่องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นเป็นการสมควร จึงให้งดการไถ่ถอนจำนองทรัพย์ที่เป็นประกันหนี้ในจำนวนเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยจำเลยจะขอไถ่ถอนอาคารชุดที่จำนองตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และขอวางเงินหรือหลักประกันเพิ่มขึ้นอีกให้เท่ากับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องหรือตามที่ศาลเห็นสมควร

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์คำร้องของจำเลยทั้งสองแล้วเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ยกเลิกคำสั่งประโยชน์ของโจทก์ได้ จึงให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 2)

จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยื่นคำร้อง (อันดับ 5)

คำสั่ง

วันที่ 14 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2535

พิเคราะห์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยจำเลยจะขอไถ่ถอนอาคารชุดที่จำนองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและขอวางเงินหรือหลักประกันเพิ่มขึ้นอีกให้เท่ากับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องหรือตามที่ศาลเห็นสมควร นั้น เป็นคำร้องอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 228(2), 247 ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้ดำเนินการต่อไป

Share