คำสั่งคำร้องที่ 1652/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีอาชีพเลี้ยงกุ้งในที่ดิน 70 ไร่เศษ มีรายได้จากการเลี้ยงกุ้งประมาณเดือนละ 3,000 บาทถึง 5,000 บาท นอกจากนี้จำเลยยังมีรายได้จากค่าเช่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก 4 แปลง แปลงละ 3,000 บาทต่อปี จำเลยจึงเป็นผู้มีฐานะพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฟ้องฎีกาได้ และอีกประการหนึ่งเมื่อพิจารณาฟ้องฎีกาแล้ว เห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของจำเลยเสีย ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาวางภายใน 15 วัน ฯลฯ
จำเลยเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีรายได้จากการเลี้ยงกุ้งเดือนละ 3,000-4,000 บาท และยังมีค่าเช่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก 4 แปลง แปลงละ 3,000 บาทต่อปีนั้น ยังคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โดยจำเลยได้นำสืบไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้งซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีรายได้จากการเลี้ยงกุ้งเท่านั้น ปัจจุบันมีปัญหาไม่ได้ผลดี รายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย ประกอบกับเวลาจับกุ้งมีเพียง 7-8 เดือนในหนึ่งปีเท่านั้นมิได้มีรายได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ประกอบกับจำเลยเจ็บป่วยต้องยืมเงินผู้อื่นมารักษาตัว ยังไม่ได้ชำระเป็นจำนวนถึง90,000 บาททั้งยังต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตรอีกด้วย ฉะนั้นคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงน่าจะฟังว่าปัจจุบันจำเลยเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดพอที่จะนำมาเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาได้ ส่วนประเด็นที่ว่าฟ้องฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกานั้น จำเลยเห็นว่าคดีของจำเลยมีมูลพอที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้ โปรดมีคำสั่งให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา
หมายเหตุ โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 341)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามฟ้อง พร้อมกับรื้อถอนโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินตามฟ้องต่อไปและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ดินที่ค้างชำระพร้อมด้วยค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน 98,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 24,680 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ พร้อมทั้งรื้อถอนโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจนหมดสิ้น
จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 296,294)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 329)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 331)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนได้ความว่าจำเลยมีที่ดินพิพาทกับโจทก์อยู่ถึง 492 ไร่ แบ่งเป็น 6 แปลงแต่ละแปลงมีเนื้อที่ 70 ไร่เศษ จำเลยทำกินเอง 2 แปลง แบ่งให้ผู้อื่นเช่า 4 แปลง ที่ที่ทำกินเองจำเลยทำเป็นวังกุ้ง มีรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยแล้วเดือนละ 3,000 บาทเศษและยังมีรายได้จากการให้เช่าที่ดินดังกล่าวอีกปีละ 3,000 บาทต่อแปลง แม้รายได้ในส่วนหลัง จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้ค่าเช่าเพราะผู้เช่าอ้างว่าอยู่ระหว่างเป็นความแต่ในชั้นไต่สวนขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำเลยกลับหาได้กล่าวอ้างความข้อนี้ไม่ ส่วนข้ออ้างที่ว่าจำเลยมีภาระต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตรและต้องใช้หนี้ผู้มีชื่อนั้น รายได้ของจำเลยดังกล่าวย่อมพอเพียงต่อการใช้จ่ายและใช้หนี้อยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา จึงเชื่อว่าจำเลยมีความสามารถชำระได้จำเลยจึงไม่ใช่คนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลตามที่อ้าง เป็นดังนี้จึงไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถายกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะฎีกาก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาวางศาลชั้นต้น ในกำหนด 15 วันนับแต่วันฟังคำสั่งนี้

Share