คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อที่ดินโดยหลงเชื่อตามที่โจทก์ฉ้อฉลว่าที่ดินติดถนนสาธารณะ ไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ ความจริงที่ดินมิได้อยู่ติดถนนสาธารณะ ถือว่าจำเลยแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อ ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆียะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 168, 163324,163325, 163326, 149687, 149688, 159168, 159170,159172, 52109 และ 159167 แขวงประเวศ เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ซึ่งติดต่อเป็นผืนเดียวกันแก่จำเลย โดยจำเลยเข้าใจว่าที่ดินอยู่ติดถนนอ่อนนุช หลังจากจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันแล้ว โจทก์ชี้แนวเขตที่ดินให้จำเลยถมดินและทำรั้วแต่ชี้แนวเขตไม่ติดถนนอ่อนนุช จำเลยจึงทราบว่าที่ดินพิพาทไม่ติดถนนอ่อนนุช และถือเป็นมูลเหตุฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครใต้ ในข้อหาฉ้อโกง ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์กระทำผิดฐานฉ้อโกงโดยได้วินิจฉัยว่า จำเลยเข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินอยู่ติดถนนอ่อนนุชดังนี้โจทก์เห็นว่าเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์และไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 11 แปลง คืนโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยกับบริวารรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 11 แปลง คืนโจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทน
จำเลยให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาททั้ง 11 แปลง จากโจทก์โดยโจทก์ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยหลงเชื่อรับซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่เป็นจริงในขณะนั้น สัญญาซื้อขายที่จำเลยกระทำเพราะถูกโจทก์หลอกลวงนั้นไม่ถึงขั้นตกเป็นโมฆะคงเป็นเพียงโมฆียะเท่านั้น คู่สัญญาฝ่ายที่มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมได้แก่จำเลยฝ่ายเดียว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้ง 11 แปลง โอนมาเป็นของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์คืนและไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เหตุที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาท 11 แปลง แก่โจทก์โดยอ้างว่าเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะสืบเนื่องมาจากจำเลยฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงในการที่โจทก์หลอกลวงจำเลยว่า ที่ดินพิพาทอยู่ติดถนนอ่อนนุช ทำให้จำเลยเข้าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์โดยสำคัญผิด คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ เห็นว่า การที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยหลงเชื่อตามที่โจทก์ฉ้อฉลว่าที่ดินพิพาทติดถนนอ่อนนุชไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ซึ่งความจริงที่ดินพิพาทมิได้อยู่ติดถนนอ่อนนุชถือว่าจำเลยแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะซึ่งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายมีสิทธิบอกล้างได้บอกล้างนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทต่อโจทก์อันจะเป็นผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะแต่แรกซึ่งคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมที่โจทก์อ้างว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะเพราะเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงไม่อาจรับฟังได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share