แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีของโจทก์ ทั้งสองมีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และปรากฏว่า ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาไม่ได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2 ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้คดีของโจทก์ชนะคดีได้และโจทก์ได้ยกขึ้น ว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 การที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบ ขัดต่อกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อกฎหมาย ในข้อ 2 ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 248)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ (คดีหมายเลขแดงที่ 378/2533 และคดี หมายเลขแดงที่ 379/2533) ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา เข้าด้วยกันกับคดีหมายเลขแดงที่ 377/2533 โดยเรียกจำเลย ในสำนวนแรก (คดีหมายเลขแดงที่ 377/2533) ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2ในสำนวนที่ 3(คดีหมายเลขแดงที่ 379/2533) ว่าจำเลยที่ 1เรียกจำเลยในสำนวนที่ 2(คดีหมายเลขแดงที่ 378/2533)ว่าจำเลยที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ส่วนโจทก์ทั้งสามสำนวนเป็นบุคคลเดียวกันยังคงเรียกโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามเดิม แต่คดีหมายเลขแดงที่ 377/2533 ถึงที่สุดไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวาร ออกไปจากที่ดินพิพาทแปลงที่สอง และให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทแปลงที่สาม ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 3,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ที่ 3ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินเดือนละ 50 บาท นับแต่ วันฟ้อง (วันที่ 29 กันยายน 2531) จนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3และบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท แปลงที่สามเสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 378/2533 และสำนวนคดี หมายเลขแดงที่ 379/2533 ของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา และทนายโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกาของโจทก์ทั้งสอง ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีและศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 235,234)
ทนายโจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 242)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าโจทก์มิได้ สละการครอบครองที่ดินพิพาทเพราะโจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ ทุก ๆ ปี จำเลยไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่และไม่ได้แสดงเจตนา ที่เป็นปรปักษ์ในที่ดินพิพาทหรือเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ การที่โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ ทั้งสองสละการครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงอันนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ถือได้ว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้อง