คำสั่งคำร้องที่ 1607/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ตามฟ้องและฟ้องแย้งที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ในคดีนี้ทุนทรัพย์ที่ฎีกามี 2 ทุนทรัพย์คือฎีกาในส่วนที่ความรับผิดของจำเลยที่มีต่อโจทก์จำนวน 114,595 บาท และฎีกาในส่วนที่จำเลยเรียกร้องจากโจทก์จำนวน 195,806.59 บาท จำนวนทุนทรัพย์คดีนี้เมื่อรวมกันแล้วจำนวน 310,401.59 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินเกินสองแสนบาทอนึ่งในส่วนการฟ้องแย้งซึ่งตามฎีกาข้อ 3 จำเลยได้ขอให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลยจำนวน 195,806.59 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จซึ่งเมื่อคำนวณดอกเบี้ยแล้วทุนทรัพย์ในส่วนนี้ก็เกินสองแสนบาทจำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 111,343 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จส่วนฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 82)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2534มาตรา 18 ระบุว่า ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ ที่ พิพาท กันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฟ้องแย้งของจำเลยมีทุนทรัพย์ 195,806.59 บาทส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จถือเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมารวมคำนวณ เป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาด้วยหาได้ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และจำเลยจะนำทุนทรัพย์ตามฟ้องโจทก์จำนวน 114,595 บาท มารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่ได้เช่นกัน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share