แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่1เพิ่งจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2ผู้เป็นบุตรทั้งๆที่เข้าอยู่ในที่ดินก่อนหน้านั้นนานแล้วและก่อนวันจดทะเบียน2วันจำเลยที่1คงเป็นหนี้โจทก์อยู่ถึงเก้าแสนบาทเมื่อจดทะเบียนโอนให้แล้วจำเลยที่1ก็หลบหนีไปพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าเป็นการกระทำไปทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเมื่อเป็นการยกให้โดยเสน่หาลำพังจำเลยที่1ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็ขอให้เพิกถอนได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าบริษัทกิ่งฟ้า จำกัด โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรได้สมคบกันทำนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมตึกแถวให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา โดยจำเลยทราบดีว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ จึงขอให้เพิกถอนการโอน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2ให้การว่าจำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทพร้อมทั้งตึกแถวให้จำเลยที่ 2ตั้งแต่ปี 2512 จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่เพิ่งมาจดทะเบียนโอนเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2522จำเลยที่ 2 ไม่ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมตึกแถว3 ชั้น 1 คูหา
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของกฎหมายที่โจทก์จะฟ้องขอเพิกถอนได้นั้น ปรากฏว่าคงมีแต่ลำพังคำจำเลยที่ 2ปากเดียวประกอบกับเอกสารหมาย ล.1 ล.2 ดังนี้ หากความจริง จำเลยที่ 1มีเจตนายกทรัพย์พิพาทให้จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ตอนที่จำเลยที่ 1 ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอกเมื่อปี 2512 ตามที่จำเลยที่ 2 ว่าแล้วจำเลยที่ 1 ก็น่าจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 เสียให้เป็นการถูกต้องในคราวเดียวกันซึ่งจะเป็นการสะดวกและไม่ยุ่งยากแต่ประการใด การที่จำเลยที่ 1 หน่วงเหนี่ยวการจดทะเบียนไว้และพึ่งจะมาดำเนินเรื่องขอจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อเดือนกันยายน 2522 จึงเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธ ทั้งทะเบียนบ้านหมาย ล.1และ ล.2 ที่จำเลยอ้างก็เป็นเพียงหลักฐานทางราชการที่แสดงว่าบรรดาบุคคลผู้มีชื่อปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าว มีภูมิลำเนาและความเกี่ยวพันกันตามที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเท่านั้น มิใช่มีความหมายเลยไปถึงว่าผู้อยู่อาศัยในสถานที่นั้นเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ด้วยข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยอาศัยสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นบุตรมิใช่เจตนายึดถือเพื่อตนในฐานะเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ และต่อมาเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้สินที่มีอยู่กับโจทก์และเป็นที่คาดหมายว่าโจทก์จะต้องฟ้องบังคับแน่ จึงได้จัดการโอนยกให้เป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 2 ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการถูกบังคับคดี ซึ่งปรากฏว่าก่อนหน้าการจดทะเบียนยกให้เพียง 2 วัน จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ถึงเก้าแสนบาทเศษ ปรากฏหลักฐานตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.19อันดับที่ 83 และหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ก็หลบหนีไป จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้แล้วว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และเมื่อกรณีเป็นการยกให้โดยเสน่าหาแล้ว ลำพังแต่จำเลยที่ ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอที่จะขอเพิกถอนได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 500 บาทแทนโจทก์.