แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า เนื่องจากคดีนี้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและอายัดทรัพย์สินคือสิทธิการเช่าโทรศัพท์และที่ดิน 7 แปลง ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่ได้ถูกนางรุ่งศรีจำเลยที่2และนายเสรีสุวรรณภานนท์ ทนายความของจำเลยที่ 2(จำเลยที่ 1 ไม่มีทนายความจึงขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา) ซึ่งบุคคลทั้งสองอ้างว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 แต่ไม่เคยแสดงหนังสือมอบอำนาจต่อโจทก์เลย และบุคคลดังกล่าวได้คัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ด้วยวาจาคำร้องและด้วยการอุทธรณ์คัดค้านตลอดมา จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ขายที่ดินของจำเลยที่ 1ทีละแปลงและขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ตามกฎหมาย และอำนาจหน้าที่การขายแยกหรือขายรวมก็เป็นของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบและเป็นการยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ส่วนที่จำเลยร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นจะต้องร้องขอก่อนการบังคับคดีเสร็จ แต่จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาภายหลังที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งศาลจะสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้นั้นต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือตามคำสั่งแต่คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนหรือดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริตหรือปฏิบัติขัดกับบทบัญญัติข้อบังคับว่าด้วยการขายทอดตลาดแต่อย่างใด และตามคำร้องดังกล่าวอีกทั้งคำอุทธรณ์ของผู้ร้องและผู้อุทธรณ์เพียงแต่กล่าวอ้างว่าราคาต่ำไปนั้น โจทก์เห็นว่าราคาที่โจทก์ประมูลซื้อที่ดินได้ทั้ง7 แปลง โดยติดจำนองด้วยนั้น รวมแล้วคิดเป็นเงิน 2,740,500 บาทซึ่งสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีการขายทอดตลาดดังกล่าวชอบแล้ว จึงร้องขอให้เพิกถอนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคแรก และวรรคสอง, มาตรา 308เมื่อจำเลยอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยไม่มีหลักประกันความเสียหายให้ไว้แก่โจทก์ และโจทก์ก็ได้ร้องขอต่อศาลอุทธรณ์สั่งให้ผู้อุทธรณ์วางเงินหรือหลักประกันความเสียหายแก่โจทก์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้พิจารณาสั่งให้ จึงเป็นช่องทางให้นายเสรีและนางรุ่งศรีกลั่นแกล้งโจทก์ ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงเป็นการไม่ชอบ ทำให้โจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยชอบและสุจริตควรจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330,1332 ต้องได้รับความเดือดร้อนและเสียหายมาก จึงขอให้ศาลฎีกาโปรดพิจารณาเหตุผลที่โจทก์กราบเรียนมา แล้วพิพากษายกหรือกลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วพิพากษาตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้โจทก์ได้รับการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินซึ่งโจทก์ซื้อมา เพราะขณะนี้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นจึงหวังจะขายที่ดินนั้นเพื่อใช้หนี้และเลี้ยงดูบุตรหากให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดโจทก์จะได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินต้นตามเช็คพิพาทจำนวน 421,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดิน 7 แปลงของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2530 โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 รวมพร้อมกัน 7 แปลงจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับมอบอำนาจคัดค้านขอให้แยกขายทีละแปลงโดยอ้างว่าขายที่ดินบางแปลงก็พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการร้องต่อศาล ขอให้มีคำสั่งในเรื่องนี้ภายในกำหนด 15 วัน ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2530 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ขายที่ดินทีละแปลง โดยอ้างว่าขายที่ดินบางแปลงก็พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว หากขายรวมพร้อมกันทุกแปลงจำเลยที่ 1 จะเสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการชั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อนให้ยกคำร้อง ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 รวมแปลงขายทั้ง 7 แปลง ให้กับโจทก์ผู้ประมูลซื้อโดยให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 700,000 บาท จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับมอบอำนาจคัดค้านว่าเป็นราคาต่ำเจ้าพนักงานบังคับคดีได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการขายที่ดินทั้ง 7 แปลง ขายโดยวิธีจำนองติดไป หนี้จำนองทั้งหมดรวมต้นเงินและดอกเบี้ยจนถึงปัจจุบันเป็นเงินประมาณ 2,000,000 บาทเศษ และที่ดินแปลงที่ 3-7 จดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2523 มี กำหนด 20 ปี ได้ราคาเพียงพอแล้วจึงขายไปในราคาดังกล่าว ต่อมา วันที่ 23 พฤศจิกายน 2530 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอ้างว่า จำเลยที่ 1 ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคสอง เพราะศาลชั้นต้นไม่ได้ชี้ขาดในเรื่องให้ขายที่ดินรวมพร้อมกันหรือแยกขายทีละแปลง และในระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ทั้งได้ยื่นคำร้องของดการขายที่ดินดังกล่าวไว้ด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไปดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1และให้ดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุจะเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีนี้เสีย
โจทก์ฎีกา (อันดับ 64 แผ่นที่ 2)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 75)
คำสั่ง
จะได้วินิจฉัยในคำพิพากษา