แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ จำเลยทั้งเจ็ดจึงอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นสั่งว่า วันครบกำหนดยื่นฎีกาเป็นวันที่ 27 มิถุนายน 2533วันนี้ (วันที่ 29 มิถุนายน 2533) จำเลยยื่นขอให้รับรองข้อเท็จจริงจึงพ้นกำหนดเวลาแล้ว ไม่รับคำร้อง
จำเลยทั้งเจ็ดเห็นว่า การยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น หาจำต้องอยู่ในระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ เพราะคำร้องดังกล่าวไม่ใช่เป็นอุทธรณ์หรือฎีกาโดยตรง แต่การที่จะรับรองฎีกาในข้อเท็จจริงให้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้จำเลยได้เลือกใช้สิทธิ ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรอง มิใช่ให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีหรือผู้พิพากษาศาลอื่นใดที่มีความเห็นแย้งเป็นผู้รับรอง ฉะนั้นจำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาในข้อเท็จจริงในเวลาใด ๆก็ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่งไปยังศาลอุทธรณ์ต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
จำเลยทั้งเจ็ดชำระค่าขึ้นศาลมา 200 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระหนี้ให้กับโจทก์เป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งเจ็ดจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยทั้งเจ็ดไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายกวงเอี๋ยว แซ่ตั้ง ผู้ตายที่ตกทอดได้แก่ตน คำขออื่นที่เกินไปกว่านี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 96)
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าว (อันดับ 100,101)
จำเลยทั้งเจ็ดจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 105)
คำสั่ง
จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้ว ดังนั้นศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวของจำเลยทั้งเจ็ดจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งเจ็ดโดยหักเป็นค่าคำร้องไว้ 40 บาท