แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งไม่รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 หามีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ หากเป็นความผิด เพียงพยายามลักทรัพย์เท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 218) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม,336 ทวิที่แก้ไขแล้ว,83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(11) วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว,83ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนดคนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 199) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 216)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถยกลังตลับลูกปืนของกลางจากสโตร์ ของผู้เสียหาย โดยมีจำเลยที่ 1 เดินนำหน้ามายังที่เกิดเหตุเพื่อรอรถบรรทุก ออกไปนอกบริษัท จึงเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 3ฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความขัดกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้กระทำผิดดังกล่าว จึงเป็นการฎีกาดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐาน ของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนนี้ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 3 ขับรถขนตลับลูกปืนจากที่เก็บเดิม มายังจุดเกิดเหตุซึ่งยังอยู่ในบริษัท เป็นการพยายามลักทรัพย์ ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อนี้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป