คำสั่งคำร้องที่ 1424/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาในข้อ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ ซึ่งประเด็นนี้จำเลยอุทธรณ์ไว้ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยฎีกาในข้อ 3 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คค้ำประกัน จำเลยต่อสู้มาแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย ฎีกาในข้อ 4เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า บันทึกประจำวันเอกสารหมาย จ.3ไม่ถูกต้องสมบูรณ์เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จำเลยลงชื่อโดยไม่อ่านให้ฟัง และหลอกลวงจำเลยว่าเป็นเรื่องถอนคำร้องทุกข์ซึ่งจำเลยนำสืบปฏิเสธความสมบูรณ์ของเอกสาร แต่โจทก์ผู้กล่าวอ้างไม่นำสืบให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของเอกสาร ไม่นำผู้ทำเอกสารมายืนยันให้ได้ความตามที่โจทก์อ้าง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่รับฟังไม่ได้ตามกฎหมาย และฎีกาข้อ 5 และข้อ 6 เป็นฎีกาเกี่ยวกับการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้จัดการบริษัท แต่โจทก์ไม่นำสืบตามข้ออ้างและเรื่องที่โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า จำเลยไปเกี่ยวข้องกับเงินที่โจทก์มอบให้นายซาฟาอีรับไปอย่างไรซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ โจทก์ผู้กล่าวอ้างมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความชัด เมื่อโจทก์ไม่นำสืบตามข้ออ้าง ข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ตามกฎหมายฎีกาดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายฎีกาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยสมควรได้รับการวินิจฉัยทั้งสิ้นซึ่งหากศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้ว จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้น รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล มีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี โดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับพวกได้เสียเงินให้แก่นายซาฟาอี และจำเลยมีส่วนได้รับเงินดังกล่าว เมื่อโจทก์ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานฉ้อโกง จำเลยก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และออกเช็คพิพาทให้โจทก์ โจทก์จึงได้ถอนคำร้องทุกข์นั้น เช็คพิพาทจึงมีมูลหนี้และจำเลยออกโดยมิได้ถูกบีบบังคับ จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้เสียเงินให้แก่นายซาฟาอีจำเลยไม่ได้รับเงิน จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันและถูกบีบบังคับ และพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์เป็นนายหน้าจัดหางานมิใช่ผู้เสียหายนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share