แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับโอนโจทก์จากหน่วยงานอื่นมาเป็นลูกจ้าง โดยจะให้โจทก์ได้รับอัตราเงินเดือนในขั้นใกล้เคียงที่ต่ำกว่าแต่ไม่เกินอัตราขั้นสูงสุดของแต่ละตำแหน่ง ส่วนเงินจำนวนที่ขาดไปนั้นจำเลยจะจ่ายให้เท่าที่เคยได้รับมาก่อน ซึ่งเรียกว่า “เงินเพิ่มพิเศษ” โดยมีหลักเกณฑ์ว่าจะจ่ายให้เป็นการชั่วคราวในระยะเวลาเพียง 6 เดือนโจทก์ตกลงยินยอมตามนั้น ความยินยอมของโจทก์จึงเป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อครบ 6 เดือนแล้วภายหลังจากนั้นโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษจากจำเลยอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมในสังกัดโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ต่อมาวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ จำเลยรับโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยโดยตกลงจะให้ค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่เคยได้รับอยู่เดิมซึ่งโจทก์ได้รับเงินเพิ่มพิเศษอยู่เดือนละ ๕๑๘ บาท แต่เมื่อรับโอนโจทก์มาแล้วจำเลยได้ตัดเงินเพิ่มพิเศษดังกล่าวไม่จ่ายให้ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๙ คิดเป็นเงินรวม ๗,๒๕๒ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินเพิ่มพิเศษเป็นเงิน ๗,๒๕๒ บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ เนื่องจากจำเลยมีบัญชีอัตราเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานมีอัตราชั้น ๔ เดือนละ ๙,๓๒๐ บาทและชั้น ๕ เดือนละ ๙,๙๔๐ บาท แต่โจทก์ได้รับเงินเดือนและเงินเพิ่มพิเศษเป็นเงิน ๙,๘๓๘ บาท ซึ่งไม่อยู่ในโครงสร้างบัญชีอัตราเงินเดือนของจำเลย จำเลยจึงได้ออกคำชี้แจ้งเรื่องการรับโอนบุคลากรจากโรงกลั่นน้ำมันทหารว่า สำหรับเงินที่ขาดจะจ่ายให้เรียกว่า “เงินเพิ่มพิเศษ” เป็นการชั่วคราวเฉพาะในช่วง ๖ เดือนแรกนับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ เป็นต้นไป หลังจากนั้นจะบรรจุแต่งตั้งและให้ได้รับเงินเดือนตามโครงสร้างตำแหน่งและอัตราเงินเดือนรวมทั้งมีสิทธิได้เลื่อนเงินเดือนประจำปีตามหลักเกณฑ์ปกติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยต่อไป โจทก์ได้ตกลงยอมรับตามประกาศดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ เดือนละ ๙,๓๒๐ บาท และเงินเพิ่มพิเศษอีกเดือนละ ๕๑๘ บาท รวมเป็นเงิน ๙,๘๓๘ บาท ตามที่โจทก์เคยได้รับและเป็นไปตามความในมาตรา ๖๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อโจทก์ได้รับเงินเดือนขึ้นจากเดือนละ ๙,๗๒๐ บาท เป็นเดือนละ๙,๙๔๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไป ตามคำสั่งที่ ๗๐๔/๒๕๒๘ จำเลยก็ยังคงให้โจทก์ได้รับเงินเพิ่มพิเศษดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ยังปฏิบัติงานอยู่ที่บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด ต่อมาเมื่อโจทก์ย้ายไปปฏิบัติงานประจำที่กองวิชาการ จังหวัดระยอง ตามคำสั่งที่ ๘๒/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ซึ่งระบุไว้โดยแจ้งชัดว่าไม่ได้รับเงินเพิ่มพิเศษ แต่เพื่อประโยชน์ของโจทก์จำเลยก็ได้จ่ายเงินเพิ่มพิเศษในเดือนกุมภาพันธฺ ๒๕๒๙ ให้แก่โจทก์ด้วย ดังนั้นนับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไปโจทก์ก็หมดสิทธิที่จะได้รับเงินเพิ่มพิเศษนี้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า เมื่อจำเลยรับโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยโดยพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ ซึ่งกำหนดให้จำเลยได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่เคยได้รับอยู่เดิม จำเลยจึงให้โจทก์ได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๙,๓๒๐ บาท และเงินเพิ่มพิเศษอีกเดือนละ ๕๑๘ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙,๘๓๘ บาท เงินเพิ่มพิเศษนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง การที่จำเลยไม่จ่ายเงินเพิ่มพิเศษให้โจทก์จึงเป็นการลดค่าจ้างอันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณต่อโจทก์โดยโจทก์มิได้ตกลงด้วย จำเลยไม่มีสิทธิกระทำได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยรับโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยแล้วประมาณ ๑ เดือน จำเลยได้ออกคำชี้แจงเรื่องการรับโอนบุคลากรจากโรงกลั่นน้ำมันทหาร ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๘ จากคำชี้แจงฉบับนี้แสดงให้เป็นเจตนาของจำเลยที่แสดงแก่ลูกจ้างของจำเลยที่รับโอนมาจากหน่วยงานอื่น ซึ่งรวมถึงโจทก์ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นลูกจ้างของโรงกลั่นน้ำมันทหารกรมการพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหมด้วนั้นว่า เมื่อรับโอนมาแล้ว จำเลยจะให้ลูกจ้างได้รับอัตราเงินเดือนในชั้นใกล้เคียงที่ต่ำกว่าแต่ไม่เกินอัตราชั้นสูงสุดของแต่ละตำแหน่งส่วนเงินจำนวนที่ขาดไปนั้นจำเลยจะจ่ายให้เท่าที่เคยได้รับมาก่อนโดยกำหนดให้เรียกว่า “เงินเพิ่มพิเศษ” โดยมีหลักเกณฑ์การจ่ายไว้ว่า จะจ่ายให้เป็นการชั่วคราวในช่วงระยะเวลาเพียง ๖ เดือน คือ ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๒๘ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๘ และโจทก์ได้ทำบันทึกต่อท้ายเอกสารหมาย จ.๔ ว่า “ข้าพเจ้ายินดีรับการบรรจุแต่งตั้งและรับอัตราเงินเดือนและเงินเพิ่มพิเศษตามคำชี้แจ้งฉบับนี้”โดยโจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ซึ่งศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบโดยมิได้โต้แย้งเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าโจทก์จะคงได้รับเงินเพิ่มพิเศษเป็นการชั่วคราวตามคำชี้แจง เมื่อฟังว่าโจทก์ได้ตกลงยินยอมขอรับเงินเพิ่มพิเศษเพียง ๖ เดือน ตามคำชี้แจงของจำเลยเอกสารหมาย จ.๔ นี้แล้ว ความยินยอมของโจทก์จึงเป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินเพิ่มพิเศษจากจำเลยอีกได้
พิพากษายืน