แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 อุทธรณ์ (น่าจะเป็นฎีกา)ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ (น่าจะเป็นฎีกา) ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา ส่วนข้อกฎหมายนั้นโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามเช็คจำเลย 325,000 บาท เมื่อราคารถยนต์พิพาทเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า มีราคา 120,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้จำเลย ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้อุทธรณ์และฎีกาว่ารถยนต์พิพาทราคา 250,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตีราคา120,000 บาท เป็นการตีราคาไม่ชอบ โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โจทก์จำนวน85,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 54)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลย 325,000 บาท และจำเลยเป็นหนี้โจทก์เฉพาะค่ารถยนต์ที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์จริง แต่ราคารถยนต์ที่โจทก์ ตีมาหรือที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ ก็ยังน้อยกว่า 325,000 บาทเมื่อหักกลบกันก็ไม่มีหนี้ที่จำเลยจะต้องชดใช้คืนแก่โจทก์ฎีกาของโจทก์ทุกข้อจึงไม่เป็นสาระที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง