แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 เห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และคดีของจำเลยที่ 1 มีทางชนะ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 164)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511มาตรา 27ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341,343,83 เรียงกระทงลงโทษข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 เดือน ข้อหาฉ้อโกงประชาชนลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 บทหนัก แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1ได้ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายทั้ง 15 คน ๆ ละ 10,000 บาทและผู้เสียหายต่างแถลงไม่ติดใจเอาความกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไปเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี1 เดือน ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 162)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงนายหน้า มิได้เป็นผู้รับจัดหางานจำเลยที่ 2 มิได้นำความเท็จไปหลอกลวงประชาชน จำเลยที่ 1คืนเงินให้ผู้เสียหายบ้างแล้วควรได้รับลดโทษและรอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวส่วนฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ว่า จำเลยที่ 1 คืนเงินโดยจ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเท่ากับเลิกสัญญา เปลี่ยนเจตนาจากความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว เป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาจึงไม่มีข้อกฎหมายดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง