แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า เนื่องจากจำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำร้องขอทุเลา การบังคับในระหว่างอุทธรณ์โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จำนวน 7 รายการ ปรากฏตามสำเนาเอกสาร ท้ายคำร้อง จำเลยทั้งสองฎีกา ซึ่งคดีมีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิพากษา ให้ชนะคดีการที่โจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลย เสียหาย ประกอบกับหนี้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเล็กน้อย ทรัพย์สิน ของจำเลยมีมากกว่าจำนวนหนี้ หากต้องแพ้คดีโจทก์ก็สามารถ ได้รับชำระหนี้จนเต็มจำนวน จำเลยเคยยื่นคำร้องให้ยกเลิก หมายบังคับคดีมาแล้วครึ่งหนึ่งโดยจำเลยที่ 2 ได้นำเงินสด จำนวน 88,311.63 บาท มาวางไว้เป็นประกัน ปรากฏตาม สำเนาเอกสารใบเสร็จรับเงินของกรมบังคับคดีแนบท้ายคำร้อง โปรดมีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ตามที่โจทก์นำยึดจำนวน 7 รายการด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 65,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2530 จนถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82,81)
จำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้น มีคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำร้องของ โจทก์ (อันดับ 65)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามคำร้องเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองได้วางเงินต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และดอกเบี้ยในอนาคตอีก 2 ปี ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) จึงอยู่ใน อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งให้ถอน การบังคับคดีได้ ให้ส่งคืนศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองนี้ต่อไป