แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้ว เป็นฎีกาที่ โต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ยอมรับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว แต่จำเลยฎีกาเพื่อขอความปรานีได้โปรดมี คำพิพากษาให้รอการลงโทษแก่จำเลยเท่านั้นอีกทั้งยังมิได้ เข้าลักษณะอันเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลแต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 วรรคแรก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390,91ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 3 เดือน ฐานขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นแล้ว ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 4 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 109)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาล จึงเป็นฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง