แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และโจทก์ก็ฎีกาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างโดยอ้างคำเบิกความของพยานต่าง ๆ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 30,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258 จึงไม่รับฎีกาโจทก์เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ 2มิได้กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิด โดยรับฟังเฉพาะคำเบิกความของพยานฝ่ายจำเลยเท่านั้น หาได้รับฟังพยานทุกปากให้เป็นที่ยุติไม่ เป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3) และการที่นายจ้อยไทรทองมี ควบคุมดูแลรถแทรกเตอร์ของตนเองและรถแทรกเตอร์ของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นคนขับจะถือได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายลักษณะตัวแทนเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่โจทก์ไม่อาจยกขึ้นมาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้เพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 177แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 173)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 175)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังแต่พยานหลักฐานของจำเลยจึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์จะรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนอย่างไร เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว ว่าจะรับฟังได้หรือไม่ เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง