แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนผู้ขายยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองผู้ซื้อ ขอให้ชำระเงินค่าสินค้าและคืนหลักประกันตามสัญญาซื้อขายชุดเครื่องเล่นเด็กเพื่อสันทนาการ เห็นว่า สัญญาพิพาทมีสาระสำคัญเป็นเพียงกำหนดให้โจทก์ส่งมอบและติดตั้งสินค้าให้ถูกต้อง ทั้งข้อกำหนดของสัญญามีลักษณะผูกพันกันด้วยใจสมัครตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค ไม่ปรากฏว่าวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงอันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะอันจะถือว่าเป็นสัญญาทางปกครอง สัญญาพิพาทในคดีนี้จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๕/๒๕๕๘
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ บริษัทซัน สปอร์ตส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมการท่องเที่ยว จำเลย ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ ๑๕๗๐/๒๕๕๗ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเลขที่ ซ. ๑๕/๒๕๕๕ โดยจำเลยตกลงซื้อชุดเครื่องเล่นเด็กเพื่อสันทนาการ จำนวน ๕๑ ชุด แต่ละชุดประกอบด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ รวม ๑๑ รายการ รวมราคาทั้งสิ้น ๑๔,๘๑๕,๕๐๐ บาท จากโจทก์ กำหนดให้โจทก์ส่งมอบพร้อมติดตั้งสินค้าทั้งหมดภายในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ณ สถานที่ที่ระบุไว้ในสัญญา รวม ๕๑ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนในจังหวัดนครปฐม รวม ๑๗ แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลในจังหวัดพิจิตร รวม ๑๗ แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก วัด และโรงเรียนในจังหวัดสุพรรณบุรี รวม ๑๗ แห่ง โดยโจทก์ได้มอบแคชเชียร์เช็คเลขที่ ๙๒๑๖๒๒๙ ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวนเงิน ๗๔๐,๗๗๕ บาท ให้แก่จำเลย เพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา ในกรณีที่จำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญา และในกรณีที่จำเลยเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยมีสิทธิเรียกค่าปรับจากโจทก์เป็นรายวันในอัตราร้อยละ ๐.๒ ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ ต่อมาโจทก์ส่งมอบ ประกอบและติดตั้งชุดเครื่องเล่นเด็กตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยมีหนังสือแจ้งว่าสินค้าที่ส่งมอบมีเพียงชุดปราสาทคู่สไลเดอร์เท่านั้น ไม่เป็นไปตามคุณลักษณะที่กำหนดไว้ในสัญญาและขอให้โจทก์ดำเนินการแก้ไข โจทก์จึงหารือกับคณะกรรมการของจำเลยได้ข้อสรุปว่า จำเลยตกลงที่จะไม่ใช้สิทธิเลิกสัญญา แต่ขอให้โจทก์ดำเนินการว่าจ้างผู้ผลิตในต่างประเทศ เพื่อจัดทำแบบชุดปราสาทคู่สไลเดอร์ขึ้นใหม่ให้เป็นไปตามคุณลักษณะที่จำเลยกำหนด โดยจำเลยตกลงที่จะไม่เรียกร้องค่าปรับอันเนื่องจากการส่งมอบงานไม่ถูกต้อง ไม่ครบจำนวน หรือล่าช้าจากโจทก์ แต่จำเลยกลับเรียกโจทก์ชำระค่าปรับเป็นรายวัน ต่อมาโจทก์ได้ส่งมอบและติดตั้งชุดปราสาทคู่สไลเดอร์ที่ได้แก้ไขให้แก่จำเลยตามจำนวนที่ได้ระบุไว้ในสัญญาแล้ว จำเลยตรวจรับมอบสินค้าพร้อมแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ส่งมอบงาบครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าสินค้าและคืนหลักประกันตามสัญญาให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้าตามสัญญา จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๑๖,๕๓๗,๕๙๘.๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ส่งมอบสิ่งของไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญา จำเลยจึงไม่รับมอบและแจ้งให้โจทก์ชำระค่าปรับเป็นรายวัน ทั้งยังพบว่าเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ที่โจทก์ติดตั้งไม่เป็นไปตามคุณลักษณะที่กำหนดในสัญญาและขอบข่ายงาน (TOR) โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยจำเลยกับโจทก์ยังไม่ได้เลิกสัญญา ทั้งจำเลยยังคงสงวนสิทธิเรียกค่าปรับจากโจทก์ตามสัญญา จำเลยมีสิทธิคิดค่าปรับและริบหลักประกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าสินค้าเครื่องเล่นหรือชุดออกกำลังกายสำหรับเด็กเพื่อการสันทนาการและคืนหลักประกันตามสัญญาพิพาท แม้จำเลยจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่วัตถุแห่งสัญญามีเพียงกำหนดให้โจทก์ส่งมอบและติดตั้งสินค้าให้ถูกต้องภายในกำหนดตามสัญญาพิพาท หาได้เป็นการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงไม่ อีกทั้งในสัญญาซื้อขายพิพาทมิได้ให้สิทธิแก่จำเลยคู่สัญญาฝ่ายปกครองมากกว่าคู่สัญญาฝ่ายเอกชนแต่ประการใด สัญญา ซื้อขายพิพาทจึงเป็นสัญญาทางแพ่งทั่วไปที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนันสนุนการจัดทำบริการสาธารณะของโรงเรียน องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลใน ๓ จังหวัด รวม ๕๑ แห่ง หาใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อสัญญาที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้มีจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง และเป็นสัญญาซื้อขายเครื่องเล่นเด็กเพื่อสันทนาการถือเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ของสัญญาเพื่อจัดหาหรือจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะจึงเป็นสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนฟ้องขอให้บังคับจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองชำระเงินค่าสินค้าและคืนหลักประกันตามสัญญาซื้อขายชุดเครื่องเล่นเด็ก เพื่อสันทนาการ จำเลยให้การว่า โจทก์ส่งมอบสิ่งของไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญา ทั้งเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ที่โจทก์ติดตั้งไม่เป็นไปตามคุณลักษณะที่กำหนดในสัญญาและขอบข่ายงาน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยมีสิทธิคิดค่าปรับและริบหลักประกัน กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองและมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ข้อเท็จจริงคดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทำสัญญาซื้อขายชุดเครื่องเล่นเด็กเพื่อสันทนาการพร้อมอุปกรณ์และติดตั้งกับโจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายทั่วไป มีสาระสำคัญเป็นเพียงกำหนดให้โจทก์ส่งมอบและติดตั้งสินค้าให้ถูกต้องภายในกำหนดตามสัญญาพิพาท ทั้งข้อกำหนดของสัญญามีลักษณะผูกพันกันด้วยใจสมัครตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค ไม่ปรากฏว่าวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงอันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ และไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือสัญญาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สัญญาพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทซัน สปอร์ตส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด โจทก์ กรมการท่องเที่ยว จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ