แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนฟ้องว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ซึ่งมีชื่อของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ จากนั้นจำเลยที่ ๓ ยื่นขอออกโฉนด แต่โจทก์ทั้งสองคัดค้าน สำนักงานที่ดิน จำเลยที่ ๔ โดยเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยที่ ๕ สอบสวนเปรียบเทียบ แล้วมีคำสั่งออกโฉนดให้แก่จำเลยที่ ๓ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เพิกถอนชื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจาก น.ส. ๓ ก. เพิกถอนคำขอออกโฉนด และการรังวัดออกโฉนดทั้งหมด ส่วนจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แล้วยกให้แก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ก็ครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมา โจทก์ที่ ๑ รุกล้ำเข้าปลูกต้นไม้และสมุนไพร จำเลยที่ ๕ ให้การว่า คำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบการขอรังวัดออกโฉนด และการรังวัดออกโฉนดชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า เป็นการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๔/๒๕๕๙
วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดสุโขทัย
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสุโขทัยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ นางณัฐสุดา สงวนจารีต ที่ ๑ นายสิริยุทธ์ ทองปากน้ำ ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวพิสมัย ศรีสวัสดิ์ ที่ ๑ นางชัฎภัสสร สงวนศรี ที่ ๒ นายกล้า ทองเทศ ที่ ๓ กรมที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย สาขาศรีสำโรง ที่ ๔ นางมะลิวัลย์ ทีปะนะ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสุโขทัย เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๖๓/๒๕๕๘ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๕๗ ตำบลคลองตาล อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวมีชื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง โดยรับโอนมาจากจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว และทราบดีว่าโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเต็มทั้งแปลง และไม่ได้ฟ้องขับไล่โจทก์ทั้งสองหรือเรียกคืนสิทธิครอบครองภายใน ๑ ปี ต่อมาวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๓ ทราบอยู่แล้วว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว จากนั้นวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๓ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินที่พิพาทต่อจำเลยที่ ๔ โจทก์ทั้งสองคัดค้าน จำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๕ สอบสวนเปรียบเทียบแล้วมีคำสั่งเห็นควรออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เนื้อที่ ๓๙ ตารางวา เพิกถอนชื่อ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจาก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนคำขอออกโฉนดของจำเลยที่ ๓ และการรังวัดออกโฉนดทั้งหมดที่จำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๕ ได้ออกคำสั่งซึ่งกระทบต่อสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ นับตั้งแต่ได้รับการยกให้จากจำเลยที่ ๓ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยกที่ดินพิพาทให้แก่ จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ก็ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา โจทก์ที่ ๑ รุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นไม้และสมุนไพร โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๕ ให้การว่า คำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบการขอรังวัดออกโฉนด และการรังวัดออกโฉนดชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุโขทัยพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองมีคำสั่งและออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท มิใช่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ทั้งสองที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๕ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่าโจทก์ทั้งสองหรือจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนชื่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจาก น.ส. ๓ ก. เพิกถอนคำขอออกโฉนดของจำเลยที่ ๓ และการรังวัดออกโฉนดที่ดินทั้งหมดที่จำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๕ ได้ออกคำสั่งอันเป็นการกระทบต่อสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสอง เมื่อการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และออกโฉนดที่ดิน เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๕ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการใช้อำนาจดังกล่าวมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยที่ ๕ (เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย สาขาศรีสำโรง) เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๙/๒๕๕๗ ต่อศาลปกครองพิษณุโลกโดยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย สาขาศรีสำโรง ที่ ๓/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ซึ่งศาลปกครองพิษณุโลกได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้ว โดยมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ร้องสอดในคดีดังกล่าว และคดีอยู่ระหว่างพิจารณา คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทซึ่งมีมูลความแห่งคดีเดียวกันกับคดีพิพาทซึ่งศาลปกครองได้รับไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว จึงชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน กับจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ ตำบลคลองตาล อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง โดยรับโอนมาจากจำเลยที่ ๓ แต่มิได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ ทั้งทราบดีว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเต็มทั้งแปลง แต่ไม่ได้ฟ้องขับไล่หรือเรียกคืนสิทธิครอบครองภายใน ๑ ปี ต่อมา จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ จากนั้นจำเลยที่ ๓ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินที่พิพาทต่อจำเลยที่ ๔ โจทก์ทั้งสองคัดค้าน จำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๕ สอบสวนเปรียบเทียบ แล้วมีคำสั่งเห็นควรออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนชื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจาก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนคำขอออกโฉนดของจำเลยที่ ๓ และการรังวัดออกโฉนดทั้งหมด ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนับตั้งแต่ได้รับการยกให้จากจำเลยที่ ๓ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ก็ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา โจทก์ที่ ๑ รุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นไม้และสมุนไพร โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ และจำเลยที่ ๕ ให้การว่า คำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบการขอรังวัดออกโฉนด และการรังวัดออกโฉนดชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชนต่อศาลยุติธรรม โดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนชื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจาก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๕๗ เพิกถอนคำขอออกโฉนดของจำเลยที่ ๓ และการรังวัดออกโฉนดทั้งหมด อันเป็นการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางณัฐสุดา สงวนจารีต ที่ ๑ นายสิริยุทธ์ ทองปากน้ำ ที่ ๒ โจทก์ นางสาวพิสมัย ศรีสวัสดิ์ ที่ ๑ นางชัฎภัสสร สงวนศรี ที่ ๒ นายกล้า ทองเทศ ที่ ๓ กรมที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย สาขาศรีสำโรง ที่ ๔ นางมะลิวัลย์ ทีปะนะ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ