แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙/๒๕๔๙
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่ง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งความเห็นให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นายประยูร อัครบวร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๑ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๒ นายทะเบียน ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง สำนักงานทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่๑๓๐๘/๒๕๔๗ความว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือหุ้นและมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน๒๕๔๗ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า บริษัทส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัท โดยอาศัยมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ ๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม๒๕๔๗ ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นกรรมการบริษัทหากผู้ฟ้องคดีมีข้อคัดค้านการจดทะเบียนให้ยื่นหนังสือคัดค้านพร้อมเหตุผลและหลักฐานประกอบคำคัดค้าน ภายในเวลา ๑๐ วัน หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ได้รับหนังสือคัดค้านภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวหรือคำคัดค้านไม่อาจรับฟังได้หรือหลักฐานประกอบคำคัดค้านไม่อาจเชื่อถือได้ตามกฎหมายผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จะตรวจพิจารณาคำขอจดทะเบียนต่อไป แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ระบุที่อยู่ทางไปรษณีย์ของผู้ฟ้องคดีไม่ชัดเจน ทำให้พนักงานไปรษณีย์ไม่สามารถนำส่งให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีได้ทราบเรื่องดังกล่าวหลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รับจดทะเบียนตามคำขอของบริษัทฯ ไปแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านการจดทะเบียน ซึ่งต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้รับหนังสือลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ ลงนามโดยผู้อำนวยการส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลางแจ้งว่าเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่๓ได้มีคำสั่งรับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการตามคำขอของบริษัทฯ ไว้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๑๙ เนื่องจากเห็นว่า การดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ข้อบังคับของบริษัทและระเบียบที่เกี่ยวข้อง หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง ขอให้อุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งภายใน ๑๕วันนับแต่วันได้รับหนังสือ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า คำสั่งรับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๑๙ แตผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยืนยันตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนตามคำขอของบริษัทฯไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๗และมาตรา๓๐ เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ให้โอกาสผู้ฟ้องคดีได้ทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เพราะหนังสือแจ้งการจดทะเบียนที่มีถึงผู้ฟ้องคดีระบุที่อยู่ของผู้ฟ้องคดีไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่ทราบถึงการพิจารณารับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ทั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยังเร่งรัดการรับจดทะเบียนตามคำขอโดยไม่มีเหตุเร่งด่วนหรือเหตุอื่นที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย ทั้งที่ยังไม่ครบกำหนดเวลายื่นหนังสือคัดค้านของผู้ฟ้องคดี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ แจ้งการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ โดยให้ยื่นหนังสือคัดค้านภายใน ๑๐วัน และมีคำสั่งรับจดทะเบียนวันที่ ๑๘ มิถุนายน๒๕๔๗) จึงเป็นการใช้อำนาจที่ขาดความเป็นกลางและไม่รับฟังพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงก่อนพิจารณามีคำสั่งรับจดทะเบียนนอกจากนี้การรับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยังเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทไม่เป็นไปตามขั้นตอนของข้อบังคับของบริษัท และระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทพ.ศ. ๒๕๓๘ และเป็นการจดทะเบียนตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมถึงเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งดังนี้
๑. ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการตามคำร้องขอของบริษัทฯ
๒. ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยืนยันความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี และ
๓. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากกรณีผู้ฟ้องคดีถูกเลิกจ้างอันเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งรับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการ ทำให้ฝ่ายสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) อาศัยเป็นช่องทางเรียกประชุมกรรมการบริษัท และมีมติเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีในฐานะลูกจ้างของบริษัทฯเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นกรรมการผู้จัดการ (ต่อมา ศาลปกครองกลางมีคำสั่งลงวันที่ ๓๑มกราคม ๒๕๔๘ ไม่รับคำฟ้องในข้อหานี้ไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีพิพาทอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างบริษัทฯ ซึ่งเป็นนายจ้าง กับผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นลูกจ้างอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำฟ้องบางข้อหาดังกล่าว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด)
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ส่งหนังสือแจ้งการจดทะเบียนโดยระบุที่อยู่ของผู้ฟ้องคดีอย่างชัดเจนตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในหนังสือรับรองนิติบุคคล และการที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าไม่ทราบเรื่องการพิจารณารับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นการกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธข้อเท็จจริง เพราะบริษัทฯ โดยผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน๒๕๔๗ แจ้งให้ทราบว่าขอคัดค้านการจดทะเบียนแก้ไขเกี่ยวกับกรรมการออกจากตำแหน่งและกรรมการเข้าใหม่ เนื่องจากการดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ ๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเรียกประชุมของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในวันที่๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗เป็นการเรียกประชุมซ้อนที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๗๔ วรรคสอง ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงทราบถึงสิทธิของตนแต่แรกและได้คัดค้านคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามความประสงค์ และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ พิจารณาคำขอและรับจดทะเบียนให้เมื่อวันที่ ๑๘มิถุนายน ๒๕๔๗ เนื่องจากเห็นว่าการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่การจัดประชุมซ้อนตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างทั้งเป็นการยื่นคำขอจดทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้พิจารณาคำขอจดทะเบียนคำคัดค้านอย่างละเอียดถี่ถ้วน และได้พิจารณาคำคัดค้าน ตลอดจนคำอุทธรณ์โต้แย้งอย่างรอบคอบคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย อนึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม๒๕๔๗ ต่อศาลแพ่งไว้แล้วเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๗๒/๒๕๔๗
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นก่อนว่าการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา๑๑๗๔ วรรคสอง หรือไม่ และมติของที่ประชุมดังกล่าวที่จัดประชุมโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๑๙๕หรือไม่ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทฯ หรือไม่ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่ามติที่ประชุมดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงจะสามารถพิจารณาคำขอจดทะเบียนของบริษัทฯ ได้
ศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการตามคำขอของบริษัทฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียน และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยที่คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ถือเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้มีหลายประเด็นเกี่ยวพันกันโดยมีประเด็นหลักซึ่งเป็นประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดีที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งรับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีประเด็นที่เกี่ยวพันกันที่จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า การเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นชอบด้วยมาตรา ๑๑๗๔ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ และมติของที่ประชุมดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ประเด็นดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาก็ตาม แต่เมื่อประเด็นหลักเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครองและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาได้ ตามข้อ ๔๑ วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ศาลแพ่งเห็นว่า แม้คดีนี้จะมีประเด็นให้ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่๓ที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่การจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้นั้น จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งเกี่ยวกับมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ว่าชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เพราะหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย ถึงแม้คำสั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ จะได้ดำเนินการโดยถูกต้องและปฏิบัติตามขั้นตอนโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการแล้วก็ตาม คำสั่งดังกล่าวก็ยังคงต้องถูกเพิกถอนเพราะเหตุที่มติที่ประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้จัดการบริษัทส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อมา บริษัทฯ ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการและอำนาจกรรมการบริษัทโดยอาศัยมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นกรรมการบริษัท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีและแจ้งว่าหากมีข้อคัดค้านการจดทะเบียนให้ยื่นหนังสือคัดค้านพร้อมเหตุผลและหลักฐานประกอบภายในเวลาที่กำหนด แต่ระบุที่อยู่ทางไปรษณีย์ของผู้ฟ้องคดีไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ฟ้องคดีทราบเรื่องดังกล่าวหลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รับจดทะเบียนตามคำขอของบริษัทฯ ไปแล้วและไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งรับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการตามคำขอของบริษัทฯผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่๒ ว่า การจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ นั้นเป็นการเรียกประชุมโดยผู้ถือหุ้น มิใช่โดยผู้จัดการบริษัทฯ การประชุมและมติที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งรับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๐๑๙ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนยันตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ทั้งขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทไม่เป็นไปตามขั้นตอนของข้อบังคับบริษัทและระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท พ.ศ. ๒๕๓๘ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการตามคำร้องขอของบริษัทฯ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีได้ทราบถึงสิทธิของตนแต่แรกและได้คัดค้านคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่๓ตามความประสงค์แล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ พิจารณาคำขอและรับจดทะเบียนเพราะเห็นว่าการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่การจัดประชุมซ้อนตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ทั้งเป็นการยื่นคำขอจดทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้พิจารณาคำขอจดทะเบียนคำคัดค้านอย่างละเอียดถี่ถ้วน และได้พิจารณาคำคัดค้าน ตลอดจนคำอุทธรณ์อย่างรอบคอบแล้ว
ดังนั้น เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการของบริษัทฯ ทำให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นกรรมการของบริษัทส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด เมื่อบริษัทฯ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจการค้า โดยขณะเกิดเหตุมีผู้ฟ้องคดีเป็นกรรมการบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทฯ และอ้างว่าการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การรับจดทะเบียนตามมติที่ประชุมดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยนั้น คดีนี้ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า การประชุมและมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๗พฤษภาคม ๒๕๔๗ ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทหรือไม่แล้วจึงจะพิจารณาเกี่ยวกับการรับจดทะเบียนที่พิพาทได้เมื่อบริษัทฯ เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าเพื่อแสวงหากำไรและเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก รัฐจึงได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้การก่อตั้ง การดำเนินกิจการ ตลอดจนการเลิกกิจการของนิติบุคคลต้องเป็นไปตามขั้นตอนและจดทะเบียน หากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็ต้องนำความไปแจ้งต่อนายทะเบียนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรับรองสิทธิว่านิติบุคคลนั้นเป็นบุคคลตามกฎหมาย มีความสามารถที่จะทำนิติกรรมได้และเพื่อเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ถึงสถานะอำนาจหน้าที่ของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นๆ ซึ่งกระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายนี้เป็นไปเพื่อรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่งเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องทางปกครองสถานภาพของผู้ฟ้องคดีจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่จึงต้องเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นหลักซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง มิใช่อยู่ที่การรับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เมื่อศาลจำต้องพิจารณาถึงสิทธิในทางแพ่งเป็นสำคัญแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายประยูร อัครบวร ผู้ฟ้องคดี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๑ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๒ นายทะเบียน ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลางสำนักงานทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ติดราชการ
(นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
๘