คำวินิจฉัยที่ 77/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีนำหลักฐาน ส.ค. ๑ ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ถูกคัดค้านจากธนารักษ์พื้นที่ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวได้แจ้งภายหลังจากที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ถือเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๙ เข้ายุ่งเกี่ยวหรือคัดค้านการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันรับคำขอออกโฉนดที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้เสร็จสิ้นกับให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และการจัดซื้อที่ดินสำหรับการสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลง ดังกล่าวได้แจ้งภายหลังจากที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗๗/๒๕๕๘

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ นายบุญประเสริฐ คุณานพรัตน์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๔ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๕ กรมชลประทาน ที่ ๖ กระทรวงการคลัง ที่ ๗ กรมธนารักษ์ ที่ ๘ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการ ที่ ๙ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๒๔/๒๕๕๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีนำหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๘๔/๒๔๙๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ช่างรังวัดทำการรังวัดที่ดินได้เนื้อที่ ๖๔ ไร่ ๓ งาน ๕๒ ตารางวา แต่ธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แจ้งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่นายพิทักษ์ เกิดบัว ผู้จัดการมรดกของนายพร้อม เกิดบัว และนายพัก เกิดบัว ซึ่งยื่นคำขอนำรังวัดออกโฉนดที่ดินคัดค้านการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทั้งแปลง และธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินด้วยเช่นกัน เนื่องจากที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินอยู่ในเขตที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ที่ สป ๑๕๑๔ ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยที่ราชพัสดุดังกล่าวเป็นที่ดินตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ ปัจจุบันกรมชลประทานส่งคืนให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของราษฎรที่บุกรุกเขตคลองชลประทาน โดยให้การเคหะแห่งชาติเช่าที่ดินสำหรับจัดทำโครงการบ้านเอื้ออาทร การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวได้แจ้งเมื่อปี ๒๔๙๘ เป็นการแจ้งภายหลังจากที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ถือเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยกอุทธรณ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหลักฐานใบไต่สวนและตามรูปแบบแผนที่การรังวัดออกโฉนดที่ดิน (ร.ว. ๙) เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ และมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๙ เข้ายุ่งเกี่ยวหรือคัดค้านการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันรับคำขอออกโฉนดที่ดิน ฉบับลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ และดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้เสร็จสิ้นให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ไว้พิจารณา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และการจัดซื้อที่ดินสำหรับการสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ที่ สป ๑๕๑๔ ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวเมื่อปี ๒๔๙๘ เป็นการแจ้งภายหลังที่ราชพัสดุซึ่งเป็นที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการดังกล่าว จึงเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ และที่ ๙ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมที่ดิน มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ เป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ เป็นส่วนราชการสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีจึงเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ และที่ ๙ เป็นหน่วยงานทางปกครอง
ผู้ฟ้องคดีนำหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๘๔/๒๔๙๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ช่างรังวัดทำการรังวัด ที่ดินได้เนื้อที่ ๖๔ ไร่ ๓ งาน ๕๒ ตารางวา แต่ธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แจ้งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่นายพิทักษ์ เกิดบัว ผู้จัดการมรดกของนายพร้อม เกิดบัว และนายพัก เกิดบัว ซึ่งยื่นคำขอนำรังวัดออกโฉนดที่ดินคัดค้านการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทั้งแปลง และธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินด้วยเช่นกัน เนื่องจากที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดินอยู่ในเขตที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ที่ สป ๑๕๑๔ ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และเป็นที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ ปัจจุบันกรมชลประทานส่งคืนให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของราษฎรที่บุกรุกเขตคลองชลประทาน โดยให้การเคหะแห่งชาติเช่าที่ดินสำหรับจัดทำโครงการบ้านเอื้ออาทร การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวได้แจ้งเมื่อปี ๒๔๙๘ เป็นการแจ้งภายหลังจากที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ถือเป็นการได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยกอุทธรณ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๙ เข้ายุ่งเกี่ยวหรือคัดค้านการรังวัดขอออกโฉนดที่ดิน และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันรับคำขอเพื่อดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้ผู้ฟ้องคดีต่อไป กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีนี้โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ และที่ ๙ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีนำหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๘๔/๒๔๙๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ถูกคัดค้านจากธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ที่ สป ๑๕๑๔ ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวได้แจ้งภายหลังจากที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ถือเป็นการได้มา โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยกอุทธรณ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๙ เข้ายุ่งเกี่ยวหรือคัดค้านการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันรับคำขอออกโฉนดที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้เสร็จสิ้นกับให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามประกาศกระแส พระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้าม และการจัดซื้อที่ดินสำหรับการสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พุทธศักราช ๒๔๖๗ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลข ทะเบียน ที่ สป ๑๕๑๔ ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานบริเวณคันกั้นน้ำเค็มชายทะเล การแจ้งการครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวได้แจ้งภายหลังจากที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายบุญประเสริฐ คุณานพรัตน์ ผู้ฟ้องคดี กระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๔ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๕ กรมชลประทาน ที่ ๖ กระทรวงการคลัง ที่ ๗ กรมธนารักษ์ ที่ ๘ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการ ที่ ๙ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share