แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ออกโฉนดเลขที่ ๑๐๘๗๑ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยมิใช่ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีกลับออกเป็นโฉนดเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยอาศัยสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นสัญญาปลอม แล้วผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จดทะเบียนขายที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไป ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดเลขที่ ๑๐๙๑๒ และการโอนขายที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับคืนโฉนดเลขที่ ๑๐๘๗๑ ไปดำเนินการให้ถูกต้องกับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การออกโฉนดเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซื้อที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ดังกล่าวมาจากผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๔/๒๕๕๖
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยภูมิ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ นางจันลา ศรีจันทร์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิ สาขาบ้านเขว้า ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายวรวิทย์ ชัยวิรัตนะ ที่ ๓ นางขวัญเรือน กองโฮม ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๕/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีด้วยการทำนาปลูกข้าวตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ จนมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๔๑ อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ในปี ๒๕๑๘ และในปี ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีได้รับโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ มาโดยเข้าใจว่าเป็นโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ แปลงของผู้ฟ้องคดี แต่ต่อมาในปี ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดีจึงทราบว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ที่ถือครองอยู่ไม่ตรงกับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองและทำประโยชน์ จึงได้ตรวจสอบเอกสารการถือครองที่ดินพบแต่เพียงสำเนา น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ ซึ่งเป็นชื่อผู้ฟ้องคดี และพบอีกว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ระบุชื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยมีหลักฐานการซื้อขายที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีไม่เคยทำสัญญาซื้อขายและลงลายมือชื่อในเอกสารที่ดินแปลงดังกล่าว ในปี ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีจึงได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อศาลจังหวัดชัยภูมิ ระหว่างนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และต่อมาทนายความของผู้ฟ้องคดีได้ให้ผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อในเอกสารขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งศาลจังหวัดชัยภูมิมีคำสั่งอนุญาต การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๓ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ที่ออกให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รวมถึงการจดทะเบียนขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ผู้ฟ้องคดีได้ถือครองโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ โดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ดำเนินการกับโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดเนื่องจากการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ และ ๑๐๘๗๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นการออกจากหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ดังกล่าว มาจากการขายของผู้ฟ้องคดี จึงมีสิทธินำหลักฐานตาม น.ส. ๓ ก. มารับโฉนดที่ดินจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า เดิมที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนและขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ในปี ๒๕๓๒ จนกระทั่งปี ๒๕๓๙ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีดูแลและใช้สอยที่ดินพิพาทแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตลอดมา ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จะขายที่ดินพิพาท ผู้ฟ้องคดีเกรงว่าผู้ซื้อจะไม่ยอมให้ผู้ฟ้องคดีใช้สอยที่ดินพิพาท จึงยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อศาลจังหวัดชัยภูมิ อ้างว่าผู้ฟ้องคดีได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท ซึ่งในวันนัดสืบพยานผู้ฟ้องคดีไม่ยอมสืบพยานแต่ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและแถลงต่อศาลเพิ่มเติมด้วยวาจาว่าจะไม่ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยซื้อมาจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า แม้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ศาลจะพิจารณาว่าการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำต้องวินิจฉัยให้ได้ความก่อนว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินต่อไป กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใด อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ และ ๑๐๘๗๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ที่ออกให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รวมทั้งการจดทะเบียนขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ผู้ฟ้องคดีถือครองโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ โดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ดำเนินการกับโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริงรับฟังได้จากคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ออกตามความในมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวจะออกให้แก่ผู้มีชื่อซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรองการทำประโยชน์ สำหรับที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกให้ตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๔๑ ซึ่งมีชื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นผู้มีสิทธิโดยปรากฏตามหลักฐานการจดทะเบียนขายระหว่างผู้ฟ้องคดี ผู้ขาย และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ผู้ซื้อ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ อ้างว่าเป็นการจดทะเบียนขายโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้ไปจดทะเบียนขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ก็อ้างว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้จดทะเบียนขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ด้วยตนเอง ซึ่งการออกโฉนดที่ดินและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวเป็นการดำเนินการโดยเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีได้ไปจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ หรือไม่ อีกทั้งการจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวของเจ้าพนักงานที่ดินก็เป็นการกระทำที่เป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย เมื่อผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการจดทะเบียนขายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ใน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องให้มีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชัยภูมิพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และการโอนขายที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับคืนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ไปดำเนินการให้ถูกต้อง กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายโดยอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๓๑๔๑ ปัจจุบันคือโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ กลับออกโฉนดที่ดินเลขที่ดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยอาศัยสัญญาซื้อขายที่ดินปลอมระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ กับผู้ฟ้องคดี แล้วออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ซึ่งไม่ใช่ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองทำประโยชน์ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า ผู้ฟ้องคดีขายที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยถูกต้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้ผู้ฟ้องคดีทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแทนเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๓๑๔๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๒๑ ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยอาศัยสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ กับผู้ฟ้องคดี ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีไม่เคยทำสัญญาซื้อขายและลงลายมือชื่อในเอกสาร และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ซึ่งไม่ใช่ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองทำประโยชน์ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ และการโอนขายที่ดินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับคืนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๘๗๑ ไปดำเนินการให้ถูกต้องกับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๑๒ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซื้อที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ดังกล่าว มาจากผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีดูแลและใช้สอยที่ดินพิพาทแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตลอดมา และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางจันลา ศรีจันทร์ ผู้ฟ้องคดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิ สาขาบ้านเขว้า ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายวรวิทย์ ชัยวิรัตนะ ที่ ๓ นางขวัญเรือน กองโฮม ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สุขสันต์ สิงหเดช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ