คำวินิจฉัยที่ 57/2559

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้านำที่ดินมือเปล่าที่มารดาผู้ฟ้องคดีครอบครองทำประโยชน์ไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นทายาททราบ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย อีกทั้งยังขัดขวางไม่ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นทายาทและเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินต่อจากมารดาเข้าทำประโยชน์ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบกฎหมายในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทด้วยความรอบคอบ โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยอ้างว่าเป็นการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีก็เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๗/๒๕๕๙

วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดบัวใหญ่

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ นายสมบูรณ์ ภูลับ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางบุญมี ภูลับ หรือฤทธิ์วิชัย ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอประทาย ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาที่ ๓ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ที่ ๔ ผู้ใหญ่บ้านหลักหิน หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๒/๒๕๕๘ ความว่า นางบุญมี ภูลับหรือฤทธิ์วิชัย มารดาผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่ที่บ้านหลักหิน หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา และได้ยื่นคำขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินไว้ ต่อมานางบุญมีถึงแก่ความตาย ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้านำที่ดินของผู้ฟ้องคดีไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยแยกเป็น ๒ แปลง คือที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง นม.๕๗๗๓ ที่ดินเลขที่ ๒๑๓ ระวาง ๕๕๔๐III๕๐๒๐,๕๐๒๒ และ นม.๖๐๙๒ เลขที่ ๒๒๓ ระวาง ๕๕๔๐III ๕๐๒๐ บ้านหลักหิน หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน


โดยไม่ได้แจ้งให้นางบุญมีหรือทายาททราบ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมายการรับฟังข้อมูลจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นผู้นำรังวัดและระวางแนวเขตที่ดิน โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งยังขัดขวางไม่ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นทายาทและเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ขาดความรอบคอบในการตรวจสอบเอกสารซึ่งเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เอง ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการปฏิบัติราชการและจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทั้งสองฉบับ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี กับห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และที่ ๕ เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว
ระหว่างพิจารณา ศาลปกครองนครราชสีมามีคำสั่งไม่รับคำฟ้องที่อ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี และมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกเอกสารสิทธิให้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากได้ข้อเท็จจริงจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ว่า ผู้ฟ้องคดีไม่เคยนำหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๒๒๐ มายื่นคำขอออกโฉนดที่ดินแต่อย่างใด กรณีจึงยังไม่มีข้อพิพาทที่เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องมาจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรที่จะมีสิทธิฟ้องคดีนี้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ให้รับฟ้องข้อหาที่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบกฎหมายในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แปลงพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแปลง”โนนหัวคู” และแปลง “ที่สาธารณประโยชน์” ด้วยความรอบคอบและโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้วผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท ทั้งนี้ น.ส. ๓ เลขที่ ๑๒๒๐ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมายังไม่มีการออกเอกสารสิทธิให้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากมีหมายเหตุว่ามีการคัดค้าน ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ครอบครอง ที่สาธารณประโยชน์โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ความเห็นระหว่างศาล
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องรวมสองข้อหาคือข้อหาที่หนึ่งฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และข้อหาที่สอง ฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ มิได้ ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวดำเนินการออกเอกสารสิทธิ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยที่มาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่า ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ อธิบดีอาจจัดให้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเพื่อแสดงเขตไว้เป็นหลักฐาน แบบ หลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ.๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ข้อ ๑ ดังนั้นการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ดำเนินการรังวัดที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเพื่อจัดให้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง ตามกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการเกี่ยวกับการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แปลงโนนหัวคูสาธารณประโยชน์ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ได้ครอบครอบและทำประโยชน์ต่อเนื่องจากนางบุญมี ภูลับ หรือฤทธิ์วิชัย มารดาของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินได้คัดค้านแสดงสิทธิในที่ดินจึงเป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้ามิได้ปฏิบัติตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้จะมีประเด็นเรื่องสิทธิในที่ดินซึ่งต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ก็ตาม แต่การพิจารณามิใช่เกณฑ์ว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ศาลปกครองนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ นอกจากนั้น ตามมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินใดๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สิน โดยศาลปกครองอาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้
สำหรับข้อหาที่สอง ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ มิได้ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาที่สองไว้พิจารณาโดยเหตุเงื่อนไขแห่งการฟ้องคดี

ศาลจังหวัดบัวใหญ่พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลปกครองนครราชสีมา รับฟ้องไว้เฉพาะข้อหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินของนางบุญมี ภูลับ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินดังกล่าวหรือไม่ ส่วนข้อหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ มิได้ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเฉพาะในข้อหาที่รับฟ้องไว้เท่านั้น ซึ่งการที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยหรือมีคำพิพากษาตามคำขอของผู้ฟ้องคดีในข้อหาดังกล่าว ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่นางบุญมีและผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาที่เข้าสู่การวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลแต่เพียงว่า คำฟ้องที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าร่วมกัน ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า นางบุญมีมารดาผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมือเปล่าได้ยื่นคำขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินไว้ ต่อมานางบุญมีถึงแก่ความตายผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้านำที่ดินของมารดาผู้ฟ้องคดีไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ นม.๕๗๗๓ และนม.๖๐๙๒ โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นทายาททราบ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย อีกทั้งยังขัดขวางไม่ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นทายาทและเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินต่อจากนางบุญมีทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่เป็นที่ดินที่นางบุญมีและผู้ฟ้องคดีครอบครองทำประโยชน์มาตลอด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบกฎหมายในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาททั้งสองแปลงด้วยความรอบคอบและโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง นม.๕๗๗๓ และ นม.๖๐๙๒ โดยอ้างว่าเป็นการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีก็เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสมบูรณ์ ภูลับ ในฐานะผู้จัดการมรดกของ นางบุญมี ภูลับ หรือฤทธิ์วิชัย ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอประทาย ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ที่ ๓ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ที่ ๔ ผู้ใหญ่บ้านหลักหิน หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share