คำวินิจฉัยที่ 51/2547

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๑/๒๕๔๗

วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่ง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด อำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดยนางอัจฉรา ตั้งมติธรรม และนายอธิป พีชานนท์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตจตุจักร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๕๒/๒๕๔๖ ข้อเท็จจริงสรุปได้ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๑๘๘ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ ไร่ ๘ ตารางวา อยู่ติดกับโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๕๓ เลขที่ดิน๗๗๒ เนื้อที่ ๙ ไร่ ๑ งาน ๕๐ ตารางวา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้ฟ้องคดีใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นถนนส่วนบุคคล ในโครงการคอนโดมิเนียมศุภาลัย ปาร์ค เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้อยู่อาศัยในโครงการของผู้ฟ้องคดีใช้เป็นเส้นทางเข้าออกสู่ถนนพหลโยธิน บริเวณซอยพหลโยธิน ๒๑ และด้านในสุดของถนนดังกล่าวติดต่อเยื้องกันกับซอยวิภาวดีรังสิต ๓๐ เป็นระยะทางประมาณ ๒๕๐ เมตร ซึ่งผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินมาจากบริษัท เรย์แลม แบตเตอรี่ จำกัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และเริ่มใช้เป็นทางออกสู่ถนนพหลโยธินตั้งแต่ซื้อมา การใช้ถนนดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เหล็กกั้นยกขึ้นลงและมีป้อมยามรักษาการณ์เพื่อแสดงอาณาเขตทั้งที่ดินด้านซอยวิภาวดีรังสิต ๓๐ และด้านที่ออกสู่ถนนพหลโยธิน และยังได้จัดวางกระถางต้นไม้เพื่อประดับให้เกิดความสวยงามและเป็นระเบียบ กับป้ายโครงการคอนโดมิเนียมด้านติดปากซอยพหลโยธิน ๒๑ไว้ด้วย ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีไม่เคยแสดงออกไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยายที่จะอุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะ รวมถึงเจ้าของที่ดินเดิมก็ได้สงวนสิทธิ์ในการใช้ถนนส่วนบุคคลนี้ด้วยกิริยาอาการหวงกันกรรมสิทธิ์โดยตรงจนถึงผู้ฟ้องคดี
ประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๔๒ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่งในขณะนั้นได้นำป้ายบอกเส้นทางลัดของกรุงเทพมหานครไปติดตั้งไว้จำนวน ๒ จุด คือ ปากซอยพหลโยธิน๒๑ และปากซอยวิภาวดีรังสิต ๓๐ เพื่อเป็นทางลัด ทั้ง ๆ ที่ทราบว่าถนนเป็นที่ดินส่วนบุคคลการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันนำป้ายบอกเส้นทางลัดมาติดตั้ง ทำให้มีผู้สัญจรมาใช้ถนนทั้งฝั่งถนนวิภาวดีรังสิตและฝั่งถนนพหลโยธิน ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นมิได้อาศัยอยู่ในซอยวิภาวดีรังสิต๓๐โดยเข้าใจ ตามป้ายบอกเส้นทางลัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่นำมาติดตั้ง ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือแจ้งให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทราบว่าเส้นทางลัดสำหรับออกสู่ซอยพหลโยธิน ๒๑ เป็น ถนนส่วนบุคคล ใช้สำหรับผู้อาศัยคอนโดมิเนียมของผู้ฟ้องคดีเท่านั้น การนำป้ายบอกเส้นทางลัด มาติดตั้งในบริเวณดังกล่าวย่อมกระทบถึงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดี เป็น การกระทำละเมิดและไม่ชอบในทางปกครอง และก่อให้ผู้ฟ้องคดีต้องได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาจากการจราจร ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีคำสั่งที่ กท ๙๐๔๑/๗๙๒๗ ลงวันที่๑๖ธันวาคม ๒๕๔๕ ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนหลังคาคลุมถนนดังกล่าวยาวประมาณ ๑๕๐ เมตรออกจากที่ดินแปลงพิพาทโดยอ้างว่าเป็นถนนสาธารณะซึ่งผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๙๐๔๑/๒๒๔๒ ลงวันที่ ๙เมษายน ๒๕๔๖ แจ้งว่าปลัดกรุงเทพมหานครมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งทั้ง ๒ ฉบับของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นการออกคำสั่งของฝ่ายปกครองที่ออกโดยไม่มีอำนาจ นอกเหนืออำนาจหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ กท๙๐๔๑/๗๙๒๗ ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ และ คำสั่งที่ ๙๐๔๑/๒๒๔๒ ลงวันที่ ๙ เมษายน๒๕๔๖ ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำให้การว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานกว่า ๔๐ ปี มาแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีข้อพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดิน อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่๑ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน และ ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้ออกคำสั่งที่ กท ๙๐๔๑/๗๙๒๗ ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่สาธารณประโยชน์ภายใน ๑๕ วันนับแต่วันรับคำสั่ง และผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๙๐๔๑/๒๒๔๒ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๖ แจ้งว่า ปลัดกรุงเทพมหานครยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีโต้แย้งเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ได้ความว่า คำสั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ดังนั้น จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีจะโต้แย้งว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑และที่ ๒ ใช้อำนาจตามกฎหมายกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่ประเด็นหลักที่คู่กรณีโต้แย้งกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่อ้างหรือไม่ จึงจะสามารถพิจารณาเกี่ยวกับความเสียหายของผู้ฟ้องคดีและข้อต่อสู้ของผู้ถูกฟ้องคดีที่อ้างว่า ไม่ได้กระทำการตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวหาในคดีนี้ต่อไปได้ ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างคู่กรณีต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ไม่ได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน แม้การฟ้องคดีนี้จะเป็นการฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลก็จำต้องพิจารณาถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นหลัก ดังนั้นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงได้แก่ศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ข้อเท็จจริงสรุปได้ความว่า ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๑๘๘ แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร และที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นถนนส่วนบุคคลของผู้ฟ้องคดีในโครงการคอนโดมิเนียมศุภาลัย ปาร์ค ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อหลังคาคลุมถนนดังกล่าวออกจากที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าเป็นถนนสาธารณะซึ่งผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายเพราะเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานกว่า ๔๐ ปี มาแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้น แม้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิของผู้ฟ้องคดี แต่การจะพิจารณาว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำต้องพิจารณาในปัญหาว่า ถนนในที่ดินแปลงพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดีผู้อำนวยการสำนักงานเขตจตุจักร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลแพ่ง

(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share