คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวต่างประเทศไม่เคยเดินทางมาประเทศไทย ยอมเสียเวลาและค่าใช้จ่ายติดตามหาตัวจำเลยโดยไม่ลดละ เป็นพฤติการณ์และมีเหตุผลสนับสนุนให้คดีมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า ยังมีกระเป๋าบรรจุทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เสียหายไม่ได้ขนเอาลงมาจากรถของจำเลยในวันเกิดเหตุจริง
จำเลยมีอาชีพขับขี่รถรับจ้างพาผู้เสียหายไปส่งจุดหมายปลายทางโดยมีกระเป๋าของผู้เสียหายที่ยังไม่ได้เอาลงมาจากรถวางไว้ข้างตัวจำเลยจำเลยย่อมจะต้องรู้อยู่แล้วว่ามิใช่ของจำเลย จำเลยได้ยินเสียงผู้เสียหายเรียกให้หยุดกลับไม่หยุดและขับรถออกไปโดยเร็วเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะเอากระเป๋าของผู้เสียหายไว้เป็นของตนโดยทุจริต.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1),336 ทวิ ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 34,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335 (1), 336 ทวิ ให้จำคุก 6 ปี ริบรถยนต์ของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 34,000 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้ขับขี่รถแท็กซี่รับผู้เสียหายกับพวกจากสนามบินดอนเมืองไปส่งที่โรงแรมบอลตันอินน์แล้วขับรถออกไปจริง ปัญหาตามที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์นั้น โจทก์มีนายอาร์น กันนาร์แนลสันผู้เสียหายและนายจอห์น ทักเกอร์ เป็นพยานยืนยันว่า เมื่อขนสัมภาระเอาลงมาจากรถ คงเหลือแต่กระเป๋าสะพายสีแดงที่วางไว้ข้างตัวของผู้เสียหายกับจำเลยตรงที่นั่งเบาะหน้า จำเลยก็ขับรถออกไปจากโรงแรมโดยเร็วผู้เสียหายวิ่งไล่ตามเรียกให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด ผู้เสียหายเรียกรถสามล้อเครื่องที่แล่นผ่านมาให้ตามไป แต่ไม่ทัน จำเลยคงได้ยินเสียงเรียก เพราะหน้าต่างรถเปิดไว้ทุกบาน นายสวัสดิ์ ใจสนิท พยานโจทก์ซึ่งเป็นยามอยู่ที่โรงแรมและเห็นเหตุการณ์ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องเบิกความว่าขณะที่จำเลยขับรถออกไปจากโรงแรมตนได้ยินผู้เสียหายเรียกให้หยุดบอกว่ายังเอาของลงไม่หมด จำเลยไม่หยุด นางสุจิตราศรีสิทธิ์ พยานจำเลยซึ่งขณะเกิดเหตุทำงานอยู่ที่โรงแรมก็เบิกความว่าขณะที่รถแท็กซี่ออกจากโรงแรมได้ยินเสียงผู้เสียหายตะโกนโวยวายและวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานโจทก์จำเลยดังกล่าว คดีรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายเรียกให้จำเลยหยุดรถในขณะที่จำเลยขับรถออกไปจากโรงแรมจริงการที่ผู้เสียหายวิ่งไล่ตามเรียกให้หยุดเพื่อบอกกล่าวว่า ยังมีสัมภาระหลงเหลืออยู่ในรถการเอาสัมภาระนั้นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนออกไปจากโรงแรมโดยเร็วเช่นนี้ เชื่อได้ว่าคงต้องตะโกนเรียกเสียงดังประกอบกับจำเลยก็รับพัวพันเข้ามาว่า ขณะที่ขับรถออกจากโรงแรมหน้าต่างรถเปิดหมดทุกบาน อันเป็นเหตุผลสนับสนุนทำให้เชื่อว่า จำเลยได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้เสียหายแล้ว และเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ของผู้เสียหายที่วันรุ่งขึ้นได้ไปสืบหาตัวจำเลยถึงบริเวณคิวจอดรถแท็กซี่ที่สนามบินดอนเมืองและไปแจ้งความต่อตำรวจครั้นเดินทางออกนอกประเทศไทยและกลับเข้ามาใหม่ก็ได้พยายามติดตามสืบหาตัวจำเลยเพื่อต้องการเอาของคืนทันที พบจำเลยและรถคันที่จำเลยขับรับจ้างผู้เสียหายกับพวกในวันเกิดเหตุก็พาตัวไปมอบให้ตำรวจดำเนินคดี การกระทำของผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่เคยเดินทางมาประเทศไทย ยอมเสียเวลาและค่าใช้จ่ายติดตามสืบหาตัวจำเลยโดยไม่ลดละเช่นนี้เป็นพฤติการณ์และมีเหตุผล
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้ขับขี่รถแท็กซี่รับผู้เสียหายกับพวกจากสนามบินดอนเมืองไปส่งที่โรงแรมบอลตันอินน์แล้วขับรถออกไปจริง ปัญหาตามที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์นั้น โจทก์มีนายอาร์น กันนาร์แนลสันผู้เสียหายและนายจอห์น ทักเกอร์ เป็นพยานยืนยันว่า เมื่อขนสัมภาระเอาลงมาจากรถ คงเหลือแต่กระเป๋าสะพายสีแดงที่วางไว้ข้างตัวของผู้เสียหายกับจำเลยตรงที่นั่งเบาะหน้า จำเลยก็ขับรถออกไปจากโรงแรมโดยเร็วผู้เสียหายวิ่งไล่ตามเรียกให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด ผู้เสียหายเรียกรถสามล้อเครื่องที่แล่นผ่านมาให้ตามไปแต่ไม่ทัน จำเลยคงได้ยินเสียงเรียก เพราะหน้าต่างรถเปิดไว้ทุกบาน นายสวัสดิ์ ใจสนิท พยานโจทก์ซึ่งเป็นยามอยู่ที่โรงแรมและเห็นเหตุการณ์ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องเบิกความว่าขณะที่จำเลยขับรถออกไปจากโรงแรมตนได้ยินผู้เสียหายเรียกให้หยุดบอกว่ายังเอาของลงไม่หมด จำเลยไม่หยุด นางสุจริตราศรีสิทธิ์ พยานจำเลยซึ่งขณะเกิดเหตุทำงานอยู่ที่โรงแรมก็เบิกความว่าขณะที่รถแท็กซี่ออกจากโรงแรมได้ยินเสียงผู้เสียหายตะโกนโวยวายและวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานโจทก์จำเลยดังกล่าว คดีรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายเรียกให้จำเลยหยุดรถในขณะที่จำเลยขับรถออกไปจากโรงแรมจริงการที่ผู้เสียหายวิ่งไล่ตามเรียกให้หยุดเพื่อบอกกล่าวว่า ยังมีสัมภาระหลงเหลืออยู่ในรถการเอาสัมภาระนั้นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนออกไปจากโรงแรมโดยเร็วเช่นนี้ เชื่อได้ว่าคงต้องตะโกนเรียกเสียงดังประกอบกับจำเลยก็รับพัวพันเข้ามาว่า ขณะที่ขับรถออกจากโรงแรมหน้าต่างรถเปิดหมดทุกบาน อันเป็นเหตุผลสนับสนุนทำให้เชื่อว่า จำเลยได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้เสียหายแล้ว และเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ของผู้เสียหายที่วันรุ่งขึ้นได้ไปสืบหาตัวจำเลยถึงบริเวณคิวจอดรถแท็กซี่ที่สนามบินดอนเมืองและไปแจ้งความต่อตำรวจครั้นเดินทางออกนอกประเทศไทยและกลับเข้ามาใหม่ก็ได้พยายามติดตามสืบหาตัวจำเลยเพื่อต้องการเอาของคืนทันที พบจำเลยและรถคันที่จำเลยขับรับจ้างผู้เสียหายกับพวกในวันเกิดเหตุก็พาตัวไปมอบให้ตำรวจดำเนินคดี การกระทำของผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่เคยเดินทางมาประเทศไทย ยอมเสียเวลาและค่าใช้จ่ายติดตามสืบหาตัวจำเลยโดยไม่ลดละเช่นนี้เป็นพฤติการณ์และมีเหตุผลสนับสนุนให้คดีมีน้ำหนักเชื่อได้ว่ายังมีกระเป๋าบรรจุทรัพย์สินต่างๆคิดเป็นเงินโดยประมาณ 34,000 บาท ของผู้เสียหายไม่ได้ขนเอาลงมาจากรถของจำเลยในวันเกิดเหตุจริง ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่มีอาชีพขับขี่รถแท็กซี่รับจ้างได้ยินเสียงตะโกนของผู้โดยสารที่ตนเองเป็นผู้พามาส่งไว้ที่จุดหมายปลายทางเรียกให้หยุดโดยมีกระเป๋าของผู้เสียหายที่ยังไม่ได้เอาลงมาจากรถซึ่งวางไว้ข้างตัวจำเลย และจำเลยย่อมจะต้องรู้อยู่แล้วว่ามิใช่ของจำเลย จำเลยกลับไม่หยุดและขับรถออกไปโดยเร็ว นั้นเป็นพิรุธแสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะเอาทรัพย์นั้นไว้เป็นของตนโดยทุจริตด้วยเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัยมา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและกำหนดโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share