คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกู้เงินจาก ส.สามีอ. และสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ ส.โดยมอบให้อ. เป็นผู้รับไป ก่อนเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระ ส. ขอร้องให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่โดยบอกว่า อ.มิได้นำเช็คพิพาทไปมอบให้แก่ส. จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่แทนเช็คพิพาท และได้ชำระหนี้ตามเช็คฉบับใหม่แล้ว เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ปราศจากมูลหนี้เมื่อโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจาก อ.โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วนำไปเข้าบัญชีที่ธนาคาร ซึ่งเท่ากับโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์กับ อ. คบคิดกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ในการวินิจฉัยในประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทระหว่างโจทก์กับ อ. ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาถึงมูลฐานซึ่งเป็นต้นเหตุให้โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ.เมื่อพิจารณาจากทางนำสืบของจำเลยแล้วปรากฏว่า ต้นเหตุที่โจทก์รับสลักหลังเช็คพิพาทจาก อ.ก็เนื่องมาจากโจทก์กับอ.เป็นญาติกัน และโจทก์ประกอบวิชาชีพทนายความ อ. ซึ่งทราบเรื่องที่จำเลยออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คพิพาทแล้วไปปรึกษากับโจทก์เพื่อหาทางให้ได้รับเงินตามเช็คพิพาทโดยให้โจทก์รับสลักหลังเช็คนั้นแล้วนำมาฟ้องจำเลย เพราะหากให้ อ.ฟ้องเองจำเลยย่อมต่อสู้อ.โดยอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับ อ. ได้เช่นนี้ ตามรูปเรื่องถือได้ว่าอยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2526 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อยเลขที่ 0727444 ลงวันที่ 20 มกราคม 2526 สั่งจ่ายเงิน 50,000 บาทให้แก่ผู้ถือต่อมาโจทก์รับสลักหลังเช็คดังกล่าวจากนางอรพรรณหล่อสำราญ เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2526 โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาตรีเพชร เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งระงับการจ่าย” และได้คืนเช็คให้โจทก์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2526 โจทก์ให้นางอรพรรณ หล่อสำราญ ไปทวงถามจำเลย จำเลยไม่ยอมชำระให้โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันออกเช็คถึงวันฟ้องเป็นเวลา12 เดือน เป็นดอกเบี้ย 3,750 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระถึงวันฟ้องเป็นเงิน 53,750 บาทขอให้จำเลยชำระเงิน 53,750 บาท พร้อมด้วยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 50,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2525 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากนายสนิท หล่อสำราญซึ่งเป็นสามีของนางอรพรรณ หล่อสำราญ หรือ ณ นคร เป็นเงิน100,000 บาท โดยกำหนดชำระหนี้บางส่วนภายในเดือนตุลาคม 2525ส่วนที่เหลือจะชำระในเดือนมีนาคม 2526 ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้นายสนิทเป็นเงิน 38,472 บาท ยังคงค้างชำระอยู่อีกเป็นเงิน61,528 บาท ครั้นเดือนตุลาคม 2525 นางอรพรรณได้หลอกลวงจำเลยว่านายสนิทให้นางอรพรรณ มาทวงหนี้จากจำเลย เพราะนายสนิทป่วยมีความจำเป็นต้องใช้เงิน จำเลยจึงออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาตลาดน้อย 2 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมให้แก่นายสนิทเช็คฉบับหนึ่งลงวันที่ 4 มกราคม 2526 สั่งจ่ายเงิน 11,528 บาท ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่งคือเช็คเลขที่ 0727444 ลงวันที่ 20 มกราคม 2526สั่งจ่ายเงิน 50,000 บาท แล้วมอบให้นางอรพรรณเป็นผู้รับเช็คทั้งสองฉบับไป เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระนางอรพรรณได้นำเช็คฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2526 สั่งจ่ายเงิน 11,528 บาท ไปรับเงินจากธนาคารแต่ไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้แก่นายสนิทซึ่งเป็นสามีนายสนิทให้จำเลยไปพบแล้วให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัด เลขที่ 0727447 ลงวันที่ 20 มกราคม 2526 จำนวนเงิน50,000 บาท ชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างชำระแทนเช็คเลขที่ 0727444ซึ่งจำเลยมอบให้นางอรพรรณไป นายสนิทให้จำเลยติดต่อทวงถามเอาเช็คเลขที่ 07274444 คืนจากนางอรพรรณ นายสนิทได้ทำหนังสือให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้จำเลยรับเช็คเลขที่0727444 คืนจากนางอรพรรณ แต่จำเลยหาตัวนางอรพรรณไม่พบต่อมาจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คเลขที่ 0727447 จำนวนเงิน50,000 บาท ให้แก่นายสนิทไปเรียบร้อยแล้วโดยมีนางพรพิมลมาริโน บุตรนายสนิทเป็นผู้รับแทน เพราะต้องเอาเงินไปชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลของนายสนิท ดังนั้นเช็คเลขที่ 0727444 ตามฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ทรงเช็คเลขที่ 0727444โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์กับนางอรพรรณทราบดีว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างชำระให้นายสนิทเรียบร้อยแล้ว โจทก์กับนางอรพรรณคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระหนี้ตามเช็คเลขที่ 0727444 พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 24มกราคม 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับดอกเบี้ยที่ค้างชำระถึงวันฟ้องไม่เกิน 3,750 บาท เท่าที่โจทก์ขอมา จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2525 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากนายสนิท หล่อสำราญ สามีนางอรพรรณ หล่อสำราญ หรือ ณ นครไปเป็นเงิน 100,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.4จำเลยชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้แก่นายสนิทไปแล้ว 38,472 บาทยังคงค้างชำระอยู่อีกเป็นเงิน 61,528 บาท ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม2525 นางอรพรรณมาทวงหนี้ที่ค้างชำระอยู่จากจำเลย จำเลยจึงชำระหนี้ดังกล่าวด้วยเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อยรวม 2 ฉบับ คือฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2526 สั่งจ่ายเงิน 11,528 บาทและฉบับเลขที่ 0727444 ลงวันที่ 20 มกราคม 2526 สั่งจ่ายเงิน50,000 บาท ให้แก่นายสนิท โดยมอบเช็คดังกล่าวให้นางอรพรรณเป็นผู้รับไป เมื่อเช็คฉบับแรกถึงกำหนดสั่งจ่าย นางอรพรรณนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อย และได้รับเงินไปแล้วแต่นางอรพรรณไม่นำเงินไปมอบให้นายสนิทสามี ซึ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมิชชั่น ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2526 นายสนิทให้นางพรพิมล มาริโน บุตรสาวของนายสนิทโทรศัพท์เรียกให้จำเลยไปพบที่โรงพยาบาลดังกล่าว จำเลยจึงไปพบนายสนิทในวันเดียวกันนั้นเองนายสนิทขอร้องให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่โดยบอกว่านางอรพรรณมิได้นำเช็คที่ยังไม่ได้ขึ้นเงินที่ธนาคารไปมอบให้แก่นายสนิท จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาตลาดน้อย เลขที่ 0727447 ลงวันที่ 20 มกราคม 2526จำนวนเงิน 50,000 บาท แทนเช็คเลขที่ 0727444 คือเช็ครายพิพาทที่จำเลยมอบให้แก่นางอรพรรณไป ทั้งนี้เพราะนายสนิทมีความจำเป็นต้องใช้เงินค่ารักษาในโรงพยาบาล นายสนิทได้ทำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็ครายพิพาทแล้วมอบหนังสือให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย ล.3
ประเด็นข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์รับโอนเช็ครายพิพาทจากนางอรพรรณโดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่าหลังจากที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แก่นายสนิทแทนเช็ครายพิพาทที่จำเลยมอบให้แก่นางอรพรรณไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ นางอรพรรณโทรศัพท์มาหาจำเลย เนื่องจากทราบว่าจำเลยสั่งเพื่อนที่รู้จักกับนางอรพรรณให้ช่วยทวงถามเช็ครายพิพาทคืน จำเลยได้พูดทางโทรศัพท์ขอให้นางอรพรรณนำเช็ครายพิพาทมาคืนให้แก่จำเลย เพราะเช็ครายพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับนายสนิทแล้ว ทั้งจำเลยได้บอกด้วยว่าจำเลยได้อายัดเช็ครายพิพาทไว้แล้ว แต่นางอรพรรณไม่นำเช็ครายพิพาทมาคืนให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยถูกโจทก์คดีนี้ฟ้องต่อศาลอาญาว่าออกเช็ครายพิพาทตามคดีหมายเลขดำที่ 1627/2526 นางอรพรรณพยานโจทก์เบิกความยอมรับว่าตนเคยโทรศัพท์ไปหาจำเลยเกี่ยวกับเช็ครายพิพาทจริงจึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้แจ้งให้นางอรพรรณทราบถึงเรื่องที่จำเลยได้ออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็ครายพิพาท แล้วนำไปชำระหนี้ให้แก่นายสนิทแล้ว ฉะนั้น เช็ครายพิพาทจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับนายสนิท นอกจากนี้ยังได้ความจากนางเยาวภาเชยรส พยานจำเลยซึ่งเป็นภรรยาคนเดิมของนายสนิทว่านางอรพรรณเป็นญาติกับโจทก์นางอรพรรณก็เบิกความรับว่าตนเองเป็นญาติกับโจทก์จริง พฤติการณ์แห่งคดีจึงน่าเชื่อต่อไปว่านางอรพรรณได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเช็ครายพิพาทไปปรึกษากับโจทก์ซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความที่สำนักงานนิตินัยทนายความ เพื่อหาทางให้จำเลยชำระเงินตามเช็ครายพิพาท และส่อแสดงว่าโจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้จากนางอรพรรณว่าเช็ครายพิพาทเป็นเช็คที่ปราศจากมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่นายสนิทแล้วฉะนั้นการที่โจทก์กลับรับโอนเช็ครายพิพาทแล้วนำไปเข้าบัญชีที่ธนาคารจึงเท่ากับโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์กับนางอรพรรณคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจนำเช็ครายพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยต่อสู้ว่าการโอนเช็ครายพิพาทระหว่างโจทก์กับนางอรพรรณ ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย แต่จำเลยสืบไม่ถึงในประเด็นข้อนี้ ศาลอุทธรณ์สันนิษฐานเอาในเรื่องฉ้อฉล จึงเป็นการวินิจฉัยนอกสำนวนนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จำต้องพิจารณาถึงมูลฐานซึ่งเป็นต้นเหตุให้โจทก์รับสลักหลังเช็ครายพิพาทจากนางอรพรรณ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ต้นเหตุที่โจทก์รับสลักหลังเช็ครายพิพาทจากนางอรพรรณก็เนื่องมาจากโจทก์กับนางอรพรรณเป็นญาติกัน และโจทก์ประกอบวิชาชีพทนายความ นางอรพรรณซึ่งทราบถึงเรื่องที่จำเลยได้ออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็ครายพิพาทแล้วน่าจะนำเช็ครายพิพาทไปปรึกษากับโจทก์เพื่อหาทางให้ได้รับเงินตามเช็ครายพิพาท โจทก์จึงรับสลักหลังเช็ครายพิพาทจากนางอรพรรณ แล้วนำเช็ครายพิพาทมาฟ้องจำเลย เพราะถ้าให้นางอรพรรณเป็นโจทก์ฟ้องเอง จำเลยย่อมต่อสู้นางอรพรรณโดยอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างจำเลยกับนางอรพรรณได้ ดังนั้นตามรูปเรื่องถือได้ว่าอยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ตลอดจนข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ มิใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกสำนวนแต่อย่างใด”
พิพากษายืน

Share