คำวินิจฉัยที่ 30/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่คำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ บุกรุกเข้าไปขุดดินและรื้อถอนหลักเขตที่ดินบริเวณที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพื่อก่อสร้างท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) โดยไม่ได้รับความยินยอมไม่รับฟังคำคัดค้านและดำเนินการก่อสร้างต่อไป เมื่อเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อปักหลักเขตที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ คัดค้านการรังวัดอ้างว่า คูน้ำเป็นคูน้ำสาธารณะ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินและปรับสภาพที่ดินให้คืนดังเดิม ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หยุดคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินหรือให้เจ้าพนักงานที่ดินปักหลักเขตที่ดินตามผลการรังวัดสอบเขตที่ดิน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นคูน้ำสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ดำเนินการก่อสร้างท่อระบายน้ำและก่อสร้างตามแนวคูสาธารณเดิม ซึ่งตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นคูน้ำสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๐/๒๕๕๗

วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นายอำพล มะยมตัน ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายกองค์การบริหารส่วนตำบลกระเสียว ที่ ๑ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๕ ตำบลกระเสียว ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑๓/๒๕๕๕ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ ๑๓๓๐๑ ตำบลกระเสียว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๓ งาน ๘ ตารางวา โดยรับโอนมรดกมาจากมารดาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ซึ่งเดิมมารดาของผู้ฟ้องคดีขุดคูน้ำเพื่อนำมาใช้ในการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ต่อมาประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๔ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้บุกรุกเข้าไปขุดดินและรื้อถอนหลักเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพื่อก่อสร้างท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยไม่ได้รับความยินยอมไม่รับฟังคำคัดค้านและดำเนินการก่อสร้างต่อไป และเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ นายผดุงศักดิ์ มะลิทอง เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และได้นำเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี สาขาสามชุก รังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อปักหลักเขตที่ดินใหม่แทนหลักเขตเดิมที่ถูกรื้อถอน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ คัดค้านการรังวัดอ้างว่าคูน้ำที่มารดาของผู้ฟ้องคดีขุดไว้เป็นคูน้ำสาธารณะ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีและปรับสภาพที่ดินให้คืนดังเดิมให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หยุดคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดิน หรือให้เจ้าพนักงานที่ดินปักหลักเขตที่ดิน ตามผลการรังวัดสอบเขตที่ดินให้มีเนื้อที่และรูปแผนที่ตรงตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๑๓๓๐๑ ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเดิมชาวบ้านได้ร่วมกันขุดคูดินที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อชักน้ำไปใช้ในการเกษตรของชาวบ้านประมาณ ๓๐ ราย เพื่อประโยชน์สาธารณะ และได้ใช้ร่วมกันมาเป็นเวลาประมาณ ๔๐ ปี มิได้มีการหวงห้าม จึงเป็นคูน้ำสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ดำเนินการก่อสร้างท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) ตามแผนพัฒนาสามปี (๒๕๕๔ – ๒๕๕๖) ซึ่งเป็นโครงการที่ที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลกระเสียว ได้อนุมัติโครงการแล้ว โดยผ่านการประชาคมของชาวบ้านตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ซึ่งทำการก่อสร้างตามแนวคูสาธารณะเดิม ผู้ฟ้องคดีก็ไม่คัดค้าน ผู้ฟ้องคดีได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เมื่อปี ๒๕๓๔ หลังจากมีการขุดคูและชาวบ้านใช้เป็นคูน้ำสาธารณะซึ่งตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ประเด็นหลักคู่กรณีโต้แย้งกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครองและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามมาตรา ๑๒๒ แห่ง พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการดังกล่าวตามฟ้อง จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้บุกรุกเข้าไปรื้อถอนหลักเขตที่ดินและก่อสร้างท่อระบายน้ำ ในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ใช้อำนาจตามกฎหมายทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ก็ไม่ใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้คู่กรณียังโต้แย้งกันว่า การทำท่อระบายน้ำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ การที่ศาลจะวินิจฉัยว่าจะบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ จึงจะพิจารณาได้ว่าจะบังคับตามคำขอที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รื้อถอนสิ่งก่อสร้าง และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยกเลิกการคัดค้านการตรวจสอบและปักหลักเขตที่ดินได้หรือไม่ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ตาม แต่คำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ บุกรุก เข้าไปขุดดินและรื้อถอนหลักเขตที่ดินบริเวณที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพื่อก่อสร้างท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) โดยไม่ได้รับความยินยอมไม่รับฟังคำคัดค้านและดำเนินการก่อสร้างต่อไป เมื่อนายผดุงศักดิ์ มะลิทอง เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียง นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อปักหลักเขตที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ คัดค้านการรังวัดอ้างว่า คูน้ำเป็นคูน้ำสาธารณะ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินและปรับสภาพที่ดินให้คืนดังเดิม ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หยุดคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดิน หรือให้เจ้าพนักงานที่ดินปักหลักเขตที่ดินตามผลการรังวัดสอบเขตที่ดิน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นคูน้ำสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ดำเนินการก่อสร้างท่อระบายน้ำและก่อสร้างตามแนวคูสาธารณะเดิม ซึ่งตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นคูน้ำสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายอำพล มะยมตัน ผู้ฟ้องคดี นายกองค์การบริหาร ส่วนตำบลกระเสียว ที่ ๑ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๕ ตำบลกระเสียว ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) นายดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share