คำวินิจฉัยที่ 21/2554

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๑/๒๕๕๔

วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาล
ในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๖๐๖/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ทชายทะเลชื่อว่า “บ้านรักทะเล” ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๔๓๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) แต่เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้นายเจริญศักดิ์เสียชีวิตและรีสอร์ทเสียหายทั้งหมด ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ต่อศาลจังหวัดตะกั่วป่า และศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ตามคำร้อง แต่โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๓/๒๕๕๑ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ต่อมาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลและความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินที่ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์ในส่วนของโจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวนคนละ ๓๖๖,๖๖๖.๖๖ บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ข้ออ้างตามฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ นายเจริญศักดิ์ บิดาของจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดทั้งห้าแปลง โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือร่วมลงทุนกับบิดาของจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและเบิกเงินจากบัญชี รวมถึงทำนิติกรรมโอนขายที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกของนายเจริญเป็นการกระทำที่สุจริตเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทโดยธรรมเพียงคนเดียวของนายเจริญ โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิที่จะได้รับมรดก และโจทก์ทั้งสองก็ทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิกระทำได้ เพราะหลังจากศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ ในฐานะผู้คัดค้านยื่นอุทธรณ์และคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์ที่ ๒ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายเจริญศักดิ์ และนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกและทายาทของนายเจริญศักดิ์มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๓ ได้ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และวิธีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง การที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ที่ ๑ นายอารักษ์ บุญยัษเฐียร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครองกลาง และต่อมาได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ในประเด็นเดิมต่อศาลแพ่ง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คู่กรณียังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ดังนี้ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องในข้อหาที่ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากของนายเจริญศักดิ์ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เป็นข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของจำเลยที่ ๓ คำฟ้องในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยแท้ และมิใช่คดีพิพาททางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคำฟ้องในข้อหาที่ซึ่งโจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหานี้เป็นข้อกล่าวอ้างที่สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ และการยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหานี้โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามส่วน มูลความแห่งคดีในข้อหานี้จึงสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ รวมห้าแปลง โดยรู้อยู่ว่าโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ แล้ว และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนการขายที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย อันเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๓ กระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยที่ ๓ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินคนละหนึ่งในสาม เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นการฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ข้อพิพาทในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับด้วยการเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ซึ่งออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ได้ตามคำขอของโจทก์ทั้งสองตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และสั่งให้จำเลยทั้งสามใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้แม้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยก็ตาม ศาลปกครองก็มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาได้ เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ ๓ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่เป็นเหตุพิพาทในคดีนี้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงถือเป็นคู่กรณีในคดีนี้ นอกจากนั้น คดีในข้อหานี้ก็มีคู่ความบางรายเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองไว้แล้ว ตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ในข้อหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอให้เพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย เหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอของโจทก์ทั้งสอง จึงมีมูลมาจากการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งที่ดินที่พิพาทก็เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีทั้งสองคดีนี้จึงควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ต่อมานายเจริญศักดิ์เสียชีวิต ศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ ในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่แบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อศาลปกครองกลาง โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินในส่วนของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยที่ ๑ ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์พร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าว เห็นว่า ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องโดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นหุ้นส่วนกับนายเจริญศักดิ์ โดยแต่ละคนถือหุ้นตามสัดส่วนของทรัพย์สินที่ได้ลงหุ้นไว้ ต่อมานายเจริญศักดิ์ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนต้องเลิกกันและจะต้องทำการชำระบัญชี ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งทรัพย์สินของห้างคือ เงินฝากในธนาคารและที่ดินพิพาททั้งหมดรวม ๕ แปลง ให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เป็นหุ้นส่วน ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิที่จะขอแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้อง ดังนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ทั้งสองกับผู้ตายทำสัญญาห้างหุ้นส่วนกันหรือไม่ แล้วจึงจะวินิจฉัยสิทธิในทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องได้ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินของผู้ตาย ๑ แปลง ไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยมีจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรับจดทะเบียนโอนให้นั้น เห็นว่า การรับจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นการรับรองสิทธิของบุคคลในทางแพ่ง เพื่อให้ผู้รับโอนนำไปใช้ยันกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่มีสิทธิดีกว่า ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ หรือไม่ หากจำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะกระทำได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ย่อมจะโอนไปโดยชอบ แต่หากไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การโอนย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินยังเป็นของห้างหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองที่เป็นเอกชนด้วนกันเอง อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ นางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share