แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๐/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ วัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๔๑/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ผู้ฟ้องคดีแจ้งการครอบครองที่ดิน ตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมาในปี ๒๕๑๐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่กระทรวงการคลังทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีด้านทิศตะวันตก โดยอ้างว่าออกตามพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ปัจจุบันที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประตูชัย เมื่อต้นปี ๒๕๑๗ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ แต่เจ้าอาวาสในขณะนั้นให้ถ้อยคำเรื่องที่ข้างเคียงต่อช่างแผนที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ตรงตามที่เป็นจริง เป็นเหตุให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเหลือเนื้อที่เพียง ๒๐ ไร่ ๑ งาน ๖๕.๗ ตารางวา น้อยกว่าที่แจ้งการครอบครอง ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอให้ตรวจสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่ดินของโรงเรียนประตูชัยได้มาตามพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ให้แก่กระทรวงการคลัง เป็นการออกโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง เป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา เป็นการออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ อ้างว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ก่อน แล้วโอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ มิใช่การออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้กระทำได้ ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ เว้นแต่เป็นกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้แก่หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้องและได้รับค่าผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นแล้ว ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี ดังนั้น การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องกระทำโดยการออกพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ดังกล่าว โดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทั้ง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีมิใช่วัดร้างจึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการออกคำสั่งดังกล่าว เห็นว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินตามโฉนดที่ดินที่มีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ กล่าวอ้างในคำร้องขอให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล นั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวเป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ตามความในหมวด ๒ ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยว่าการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าว จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาที่จะกำหนดลักษณะของคดีว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ศาลปกครองจึงอาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ความในมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพื่อให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เดิม และได้โอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ได้ออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองที่ไม่เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นสำคัญ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาท จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างวัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี กระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ