แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรมที่ดินและเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินของโจทก์บางส่วน ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เต็มทั้งแปลง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์ ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ออกทับที่ดินของโจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสี่ให้การโดยสรุปว่า โฉนดที่ดินออกโดยถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกโฉนดทับที่ดินของโจทก์บางส่วน อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒๘/๒๕๕๗
วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดหล่มสัก
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดหล่มสักโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ นายนิวัต วัชรขจร โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ นางสาวช่ออุษา มหาแสน ที่ ๓ นางกาญจนา มหาแสน ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดหล่มสัก เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๘๕/๒๕๕๖ หมายเลขแดงที่ ๓/๒๕๕๗ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๑๑ ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๓๐ ตารางวา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตตามคำสั่งศาล ต่อมาโจทก์เข้าตรวจสอบเนื้อที่ดินแปลงดังกล่าวและตรวจสอบการรังวัดออกโฉนดที่ดินของเจ้าของที่ดินข้างเคียงพบว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๔๑ ตารางวา ทางด้านทิศเหนือ โดยจำเลยที่ ๓ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๔ ทำการรังวัดปักหลักเขต โดยสมรู้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่สุจริต การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการร่วมกันกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๑๑ เต็มทั้งแปลง ให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าขาดประโยชน์ในที่ดิน และห้ามจำเลยที่ ๓ และบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแล้ว โดยมิได้สมรู้ร่วมกันกับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ จึงไม่จำต้องเพิกถอนโฉนดที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากขณะประมูลซื้อที่ดิน โจทก์ทราบอยู่แล้วว่ามีเนื้อที่ไม่ครบถ้วนตามที่ปรากฏใน น.ส. ๓ ก. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๔ กระทำไปตามที่ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด โฉนดที่ดินของจำเลยที่ ๓ ได้ออกโดยถูกต้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดหล่มสักพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยที่ ๒ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกโฉนดทับที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โฉนดที่ดินออกโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๓ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๓ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนที่อ้างว่ามีการออกโฉนดที่ดินทับกับที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโฉนดที่ดินทับที่ดินของโจทก์ ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคลอันเป็นคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้กรณีมีข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๓ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่พิพาท แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นปัญหาหนึ่งในการที่จะพิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลปกครอง จึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชน ก็เป็นกรณีที่มีมูลความแห่งคดีเดียวกันกับคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๑๑ ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๓๐ ตารางวา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตตามคำสั่งศาล ต่อมาโจทก์เข้าตรวจสอบเนื้อที่ดินและการรังวัดออกโฉนดที่ดินข้างเคียงพบว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินของโจทก์บางส่วน โดยจำเลยที่ ๓ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๔ ทำการรังวัดปักหลักเขตโดยสมรู้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่สุจริต การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๑๑ เต็มทั้งแปลง ให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าขาดประโยชน์ และห้ามจำเลยที่ ๓ และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๙๑ ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแล้ว โดยมิได้สมรู้ร่วมกันออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ จึงไม่จำต้องเพิกถอนโฉนดที่ดิน จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากขณะประมูลซื้อที่ดิน โจทก์ทราบอยู่แล้วว่ามีเนื้อที่ไม่ครบถ้วนตามที่ปรากฏใน น.ส. ๓ ก. จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๔ กระทำไปตามที่ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด โฉนดที่ดินได้ออกโดยถูกต้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกโฉนดทับที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ของโจทก์บางส่วน อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายนิวัต วัชรขจร โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ นางสาวช่ออุษา มหาแสน ที่ ๓ นางกาญจนา มหาแสน ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ