คำวินิจฉัยที่ 119/2556

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ และ ภ.บ.ท. ๖ แต่จำเลยมีคำสั่งให้จัดทำหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงป่าช้าดงหนองแล้ง ดอนคัดเค้าโดยรังวัดเอาที่ดินของโจทก์บางส่วน ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยออกคำสั่งยกเลิกแผนที่ น.ส.ล. บริเวณที่พิพาทและให้ที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินที่โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย ส่วนจำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและการออก น.ส.ล. ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายแล้ว เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) และมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกคำสั่งยกเลิกแผนที่ น.ส.ล. บริเวณที่พิพาท ก็เพื่อให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ซึ่งเมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองเป็นสำคัญ และการที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ก็ต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๙/๒๕๕๖

วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕ นายสินธุ์ สาโรจน์ ที่ ๑ นางก้าน โคตะมะ ที่ ๒ นางฉวี ถวิลลัมภ์ ที่ ๓ นางโฮม พรมสูงยาง ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด จำเลย ต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๑๘/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๒ ตำบลหนองผือ และที่ดินตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. ๖) ตำบลคูเมือง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด เนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ โดยครอบครองต่อเนื่องมาจากนายเหลา สาโรจน์ บิดาของโจทก์ทั้งสี่ตั้งแต่ก่อนปี ๒๔๙๘ แต่ในปี ๒๕๔๐ จำเลยมีคำสั่งให้จัดทำหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงป่าช้าดงหนองแล้ง ดอนคัดเค้า ซึ่งเป็นการจัดทำแผนที่ น.ส.ล. ที่ไม่ตรงกับความจริง มีการรังวัดเอาที่ดินของโจทก์ทั้งสี่รวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ น.ส.ล. ด้วย โดยโจทก์ทั้งสี่และทายาทไม่ทราบเรื่องและไม่มีโอกาสได้ชี้แจงหรือคัดค้านการรังวัดดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่ขอให้ตรวจสอบความถูกต้องของที่ดินตาม น.ส.ล. แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ทั้งสี่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดินตามที่ครอบครองได้ ขอให้พิพากษาให้จำเลยออกคำสั่งยกเลิกแผนที่ น.ส.ล. บริเวณที่พิพาท และให้ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ครอบครองตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๒ และ ภ.บ.ท. ๖ เป็นที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า การที่โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าจำเลยรังวัดเอาที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๓๒ เนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ รวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ น.ส.ล. นั้น ไม่เป็นความจริง ที่ดินตาม น.ส.ล. เลขที่ รอ. ๐๒๐๐ เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและออกโดยชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ในการรังวัดเจ้าของที่ดินข้างเคียงรวมทั้งโจทก์ที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้รับมรดกจากนายเหลาก็ร่วมรับรองแนวเขตโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ความจริงที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๒ หลังจากนายเหลาถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ ๓ ได้นำ ส.ค. ๑ ดังกล่าวไปยื่นขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) คำนวณเนื้อที่ได้ ๘ ไร่ ๒๔ ตารางวา และในปี ๒๕๓๓ ได้มีการรังวัดออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๒๔ ให้แก่โจทก์ที่ ๓ ต่อมาในปี ๒๕๓๘ ได้มีการย้ายรูปแปลง น.ส. ๓ ก. เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๘๗๒ จึงถือว่าโจทก์ที่ ๓ ได้ขอออกเอกสารสิทธิที่ดินเต็มทั้งแปลงแล้ว การออกเอกสารสิทธิที่ดินและการออก น.ส.ล.ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่านายเหลาเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ และ ภ.บ.ท. ๖ รวมเนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ ภายหลังนายเหลาถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรที่นายเหลาบิดารับรองแล้วได้ครอบครองทำประโยชน์มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ภายหลังจำเลยได้ออก น.ส.ล. ทับที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ครอบครอง จำเลยให้การว่าการออก น.ส.ล. ดังกล่าวได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยระเบียบและกฎหมายแล้ว คดีนี้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งการที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามที่โจทก์ขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสี่หรือเป็นป่าช้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสี่หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์นั้น เป็นเพียงประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีว่าการออก น.ส.ล. แปลงพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เป็นที่ดินของเอกชนหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ศาลจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่ความเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบกับประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๒ และ ภ.บ.ท. ๖ เนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ โดยครอบครองต่อเนื่องมาจากนายเหลา บิดาของโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยมีคำสั่งให้จัดทำหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงป่าช้าดงหนองแล้งดอนคัดเค้าโดยรังวัดเอาที่ดินของโจทก์ทั้งสี่บางส่วน ทำให้โจทก์ทั้งสี่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิตามที่มีการครอบครองได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยออกคำสั่งยกเลิกแผนที่ น.ส.ล. บริเวณที่พิพาทและให้ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ครอบครองตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๒ และ ภ.บ.ท. ๖ เป็นที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย ส่วนจำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและการออก น.ส.ล. ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายแล้ว เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) และมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ แต่การที่โจทก์ทั้งสี่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกคำสั่งยกเลิกแผนที่ น.ส.ล. บริเวณที่พิพาท ก็เพื่อให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ซึ่งเมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ทั้งสี่ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครอง สิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองเป็นสำคัญ และการที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ทั้งสี่ได้นั้น ก็ต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสี่ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสินธุ์ สาโรจน์ ที่ ๑ นางก้าน โคตะมะ ที่ ๒ นางฉวี ถวิลลัมภ์ ที่ ๓ นางโฮม พรมสูงยาง ที่ ๔ โจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share