คำวินิจฉัยที่ 113/2563

แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลหลักห้า ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ. ตามคำสั่งศาล โดยนาง จ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้กำนันตำบลยกกระบัตร สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารชั่วคราวบนที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา จากนั้น นาง จ. อนุญาตด้วยวาจาให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๔ ซ่อมแซมศาลาที่พักโดยมีเงื่อนไขให้รื้อถอนเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่หลังจาก นาง จ.ถึงแก่ความตาย ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิเสธไม่รื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนให้ประโยชน์ร่วมกันมานาน ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนศาลา ที่พักผู้โดยสารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้ถูกฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่รื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้รื้อถอนโดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การสรุปได้ว่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ ยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พัก และผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถรื้อถอนศาลาที่พักเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การกระทำของนาง จ. ถือได้ว่านาง จ. ได้อุทิศที่ดินบริเวณดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่า นาง จ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารบนที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา โดยมีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พักผู้โดยสารออกไปเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่เมื่อภายหลังนาง จ. ถึงแก่ความตาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอน ผู้ถูกฟ้องคดีกลับไม่ดำเนินการรื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน และที่ดินบริเวณที่มีการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารนาง จ. ได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่ฟ้องต่อศาล ก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของนาง จ. การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนาง จ. ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

Share