คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเป็นพยาน คงมีแต่คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายว่าจำเลยข่มขืนผู้เสียหายหลายครั้งพยานของโจทก์ปากอื่นก็ล้วนแต่ได้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้เสียหาย ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราที่ไหนอย่างไรจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นบิดาของนางเสนาะ อ่วมศิลป์ผู้เสียหายได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 8 วัน 8 ครั้งด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้สืบสันดานและอยู่ในความปกครองของจำเลยโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จนสำเร็จความใคร่ทุกครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 285, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ประกอบด้วยมาตรา 285 โดยกำหนดโทษตามกฎหมายก่อนมีการแก้ไขอันเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายซึ่งให้การยืนยันว่า จำเลยได้กระทำการข่มขืนผู้เสียหายหลายครั้งจนกระทั่งผู้เสียหายตั้งครรภ์ขึ้น พยานของโจทก์ปากอื่นที่เบิกความถึงในข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราก็ล้วนแต่รับฟังมาจากผู้เสียหาย จึงเป็นพยานบอกเล่าทั้งสิ้น คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราที่ไหนอย่างไรจำเลยก็ให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลตลอดมาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย
พิพากษายืน.

Share