คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี และริบมีดของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแทงนางดาวรุ่งถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำเลยให้การว่า แทงเพื่อป้องกันตัวและบันดาลโทสะ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288ประกอบด้วย มาตรา 69 จำคุก 2 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 288 ส่วนการกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับฎีกาของจำเลยนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี และริบมีดของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนด ดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยใช้มีดของกลางแทงผู้ตายทางด้านหลัง 2 ทีในขณะที่ผู้ตายกำลังยืนพูดกับบุคคลอื่นอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกัน ที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยจึงแทงผู้ตาย 1 ทีเพื่อป้องกันตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด เป็นเรื่องโต้เถียงในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยด้วยนั้น เป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องกำหนดโทษให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพราะมิใช่เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288 ประกอบด้วย มาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ เมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยซึ่งจะต้องเป็นเหตุให้จำเลยได้รับโทษหนักขึ้นตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษก็ตาม กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ที่บัญญัติว่า “คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยเว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น” ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อขอเพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจที่จะวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share