คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6167/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาและมีคำสั่งกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงิน ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในกำหนด 20 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง เป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาล ที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และการกำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ดังนั้น ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ แม้ว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา แต่การยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว มิได้ทำให้คำสั่งศาลชั้นต้นต้องสะดุดหยุดอยู่หรือทำให้สิทธิในการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาต้องสะดุดหยุดอยู่ จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เพราะการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างศาลชั้นต้นกับจำเลย หากศาลฎีกามีคำสั่งเป็นอย่างอื่น คำสั่งศาลฎีกาย่อมลบล้างคำสั่งของศาลชั้นต้นไปในตัว ศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องรอฟังคำสั่งของศาลฎีกาก่อน มิฉะนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นก็จะไร้ผล จำเลยจะรอคำสั่งของศาลฎีกาโดยที่มิได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นก่อน จึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ที่ ๖ ที่ ๘ และที่ ๙
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๖ และที่ ๘ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวแก่ โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๘ ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาต หากจำเลยที่ ๘ ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาวางศาลภายใน ๒๐ วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง จำเลยที่ ๘ ไม่ได้วางเงินภายในกำหนดแต่ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๘ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๘ ศาลฎีกามีคำสั่งว่า จำเลยที่ ๘ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งพ้นกำหนด ๗ วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคท้าย ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งมานั้นไม่ชอบ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๘ จำเลยที่ ๘ ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๘ ไม่ทราบวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้นัดฟังคำสั่งศาลฎีกาใหม่ และได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ ๘ ฟังแล้ว จำเลยที่ ๘ ยื่นคำแถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ ๘ ให้คืนค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ ๘ และนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ ๘ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๘ ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์หลังจากอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว จำเลยที่ ๘ ยื่นคำร้องขอให้แยกสำนวนเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๘ ส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาและขอให้งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและรวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๘ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๘ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาและมีคำสั่งกำหนดเวลาให้จำเลยที่ ๘ นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระภายในกำหนด ๒๐ วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง (วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ) คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และการกำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ อันจะ ทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและจะต้องทำก่อนสิ้นระยะเวลานั้น ดังเช่นในมาตรา ๒๓ นั้นเองก็ได้กล่าวถึงระยะเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้ แสดงว่าศาลกำหนดระยะเวลาได้ ดังนั้น ถ้าจำเลยที่ ๘ ไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ ๘ ได้ แม้ว่าจำเลยที่ ๘ จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๘ ฎีกาอย่างคนอนาถาได้ แต่การที่อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวมิได้ทำให้คำสั่งศาลชั้นต้นต้องสะดุดหยุดอยู่หรือทำให้สิทธิในการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาต้องสะดุดหยุดอยู่ จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นดังที่จำเลยที่ ๘ ฎีกา เพราะการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างศาลชั้นต้นกับจำเลยที่ ๘ หากศาลฎีกา มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น คำสั่งศาลฎีกาย่อมลบล้างคำสั่งของศาลชั้นต้นไปในตัว ศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องรอฟังคำสั่งของ ศาลฎีกาก่อน มิฉะนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นก็จะไร้ผล จำเลยที่ ๘ จะรอคำสั่งของศาลฎีกาโดยที่มิได้ยื่นคำร้องขอขยาย ระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นก่อนจึงไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยที่ ๘ ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและปรากฏว่าอุทธรณ์ดังกล่าวยื่นเกินกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๖ วรรคท้าย และศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๘ เสียแล้ว เท่ากับว่าจำเลยที่ ๘ มิได้ยื่นอุทธรณ์มาแต่ต้น แม้จำเลยที่ ๘ ไม่ทราบคำสั่งนั้น เนื่องจากได้ย้ายไปรับราชการ ที่อื่นและมิได้รับหมายนัดจากศาลชั้นต้นให้มาฟังคำสั่งศาลฎีกา และจำเลยที่ ๘ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ ๘ ฟังใหม่ และศาลชั้นต้นอ่านใหม่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๒ ก็ตาม จำเลยที่ ๘ ก็ต้องผูกพันตามคำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นกรณีที่ล่วงเลยเวลาที่จำเลยที่ ๘ จะชำระค่าธรรมเนียมศาลแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๘ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share