คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7677/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอโดยไม่ได้อ้างเรื่องการรับมรดกมาเป็นเหตุแห่งการนับเวลาครอบครอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า ม.ซื้อที่ดินพิพาทและเข้าครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2508 จนกระทั่ง ม.ถึงแก่ความตายไปเมื่อปี 2530 โดยมิได้ยกให้ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่อาจนับเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทของ ม.รวมเข้ากับเวลาการครอบครองของผู้ร้องได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จะฟังไม่ได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ม.ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้วเมื่อปี 2517 แต่หลังจากที่ ม.ถึงแก่ความตายไปเมื่อปี 2530 ผู้ร้องก็ครอบครองที่ดินพิพาทเรื่อยมา ผู้ร้องจึงมีสิทธินับเวลาที่ ม.ครอบครองอยู่ก่อนรวมเข้ากับเวลาครอบครองของผู้ร้องได้ อันเป็นการนำเวลาการครอบครองของ ม.และของผู้ร้องมานับรวมกันเพราะเหตุการรับมรดก ซึ่งเป็นเหตุที่ผู้ร้องไม่ได้อ้างไว้ในคำร้องขอ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกคำร้องขอนอกประเด็นไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบ มาตรา 246

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๑๐ ตำบลเริงราง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี บริเวณพื้นสีแดงในแผนที่หลังโฉนดที่ดินเอกสารท้ายคำร้องขอหมายเลข ๓ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๓ งาน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
ผู้คัดค้านทั้งสองคัดค้านว่า ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๑๐ ตำบลเริงราง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินและเส้นสีเขียวในแผนที่เอกสารหมาย รค.๑ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๓ งาน ๖๓ ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๑๐ ตำบลเริงราง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เฉพาะในกรอบเส้นสีน้ำเงินในแผนที่เอกสารหมาย รค.๑ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๓๖ ตารางวา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ หรือไม่ คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยบรรยายคำร้องขอว่า อำแดงสุ่นและอำแดงนวนเจ้าของเดิมยกให้นางเปลื้อง แสงอมร กับนายเพ็ชร แสงอมร แล้วเป็นมรดกตกทอดแก่นางสำเภา แสงอมร ต่อมาปี ๒๕๐๖ นางสำเภาได้ขายให้แก่นางมาลี ปิ่นหล่อ มารดาผู้ร้อง นางมาลีได้เข้าครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเรื่อยมาจนกระทั่งปี ๒๕๑๗ นางมาลีได้ยกให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้เข้าครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากนางมาลีมาจนกระทั่งปัจจุบัน นับเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทพอแปลได้แต่เพียงว่า ผู้ร้องอ้างว่าระยะเวลาที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทด้วยตนเองเกินกว่า ๑๐ ปี กับเมื่อนับระยะเวลาที่นางมาลีครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนและระยะเวลาที่ผู้ร้องครอบครองต่อมาหลังจากที่นางมาลียกให้รวมกันแล้วเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ซึ่งเป็นการอ้างว่าผู้ร้องสามารถนับเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทของนางมาลีกับของผู้ร้องรวมกันได้เพราะเหตุนางมาลีได้โอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องด้วยการยกให้ก่อนนางมาลีถึงแก่ความตาย แต่ไม่อาจจะแปลได้ว่าผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องสามารถนับเวลา ครอบครองที่ดินพิพาทของนางมาลีกับของผู้ร้องรวมกันได้เพราะผู้ร้องได้รับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทจาก นางมาลีมาโดยการรับมรดกไว้ด้วย เพราะตามคำร้องขอของผู้ร้องนางมาลียังมีชีวิตอยู่หรือถึงแก่ความตายไปแล้ว ผู้ร้องก็มิได้บรรยายไว้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอโดยไม่ได้อ้างเรื่องการรับมรดกมาเป็นเหตุแห่งการนับเวลาครอบครอง รวมกันไว้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ว่า นางมาลีซื้อที่ดินพิพาทและ เข้าครอบครองโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ จนกระทั่งนางมาลีถึงแก่ความตาย ไปเมื่อปี ๒๕๓๐ โดยมิได้ยกให้ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่อาจนับเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทของนางมาลีรวมเข้ากับเวลา การครอบครองของผู้ร้องได้ เพราะนางมาลีมิได้โอนการครอบครองให้แก่ผู้ร้องเมื่อปี ๒๕๑๗ ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไว้ในคำร้องขอ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยว่า แม้จะฟังไม่ได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่านางมาลียกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้วเมื่อปี ๒๕๑๗ แต่หลังจากที่นางมาลีซึ่งเป็นมารดาผู้ร้องถึงแก่ความตายไปเมื่อปี ๒๕๓๐ ผู้ร้องก็ครอบครองที่ดินพิพาทเรื่อยมา ผู้ร้องจึงมีสิทธินับเวลาที่นางมาลีครอบครองอยู่ก่อนรวมเข้ากับเวลาครอบครองของผู้ร้องได้ อันเป็นการนำเวลาการครอบครองของนางมาลีและของผู้ร้องมานับรวมกันเพราะเหตุการรับมรดก ซึ่งเป็นเหตุที่ผู้ร้องไม่ได้อ้างไว้ในคำร้องขอ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกคำร้องขอนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ประกอบมาตรา ๒๔๖ เมื่อไม่อาจนำเวลาครอบครองที่ดินพิพาทของนางมาลีมานับรวมเข้ากับเวลาที่ผู้ร้องครอบครองได้ และข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้องเพิ่งเริ่มครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากนางมาลีถึงแก่ความตายไปเมื่อปี ๒๕๓๐ การที่ผู้ร้องมาร้องขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๙ จึงยังไม่ครบกำหนดเวลา ๑๐ ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ฎีกาของ ผู้คัดค้านทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share