แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน จำเลยคัดค้าน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขตและห้ามเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ จากนั้นได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา เท่ากับจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ จากเจ้าของเดิม แต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า หากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า 10 แล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรกซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของจำเลยเพราะซื้อมา รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครองครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๔๗ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๒ ไร่ ๗๘ ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัด สอบเขตที่ดินของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป และค่าเสียหายต่อไปอีกปีละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวาร จะออกไปจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้าน ทิศเหนือเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ซื้อมา จากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา หากฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงได้กรรมสิทธิ์การครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๘๔๗ แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อนำไปใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ ในโฉนดที่ดิน กับห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๘๔๗ ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการคัดค้านการรังวัดที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวาร เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป คำขออื่นให้ยก สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๔๗ มีชื่อโจทก์กับพวกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดที่ดินมีอาณาเขตทิศเหนือติดกับที่ดินของจำเลยที่ ๑ โฉนดที่ดินเลขที่ ๕๘๓๓ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้ความว่า พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๘๔๗ โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า คำให้การและฟ้องแย้งมีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน จำเลยทั้งสองคัดค้าน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดสอบเขตและห้ามเกี่ยวข้อง กับเรียกค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยที่ ๑ โดยซื้อมาจากนางนัฏฐา วัตตะเสรี เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๗ จากนั้นได้ครอบครองทำประโยชน์ ตลอดมา เท่ากับจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดิน แต่จำเลยทั้งสองกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า กรณีจะเป็นประการใดก็ตามหากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรก ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ เพราะซื้อมา รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เพราะการครอบครอง ปรปักษ์จะมิได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์