แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเรียกว่า สามยทรัพย์ จำเลยเป็นเจ้าของอาคารตึกแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่อยู่ติดทางพิพาท และจำเลยใช้ทางพิพาทวางสินค้าเพื่อจำหน่ายใน กิจการค้าของจำเลย เป็นการใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ ภาระจำยอมจึงไม่อาจเกิดมีขึ้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำโครงเหล็กออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๑๘๕ และ ๑๓๒๘ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะนำโครงเหล็กออกไปจากที่ดินโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำโครงเหล็กมาตั้งเพื่อวางสินค้าจำหน่ายบนทางในซอยชูพินิจ ๒ ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นทางเข้าออกและตั้งสินค้าจำหน่ายตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ จนถึงปัจจุบันติดต่อกันเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยจึงได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ซอยชูพินิจ ๒ เป็นทางสัญจรของประชาชนทั่วไปอยู่ในความควบคุมดูแลของเทศบาล เสมือนเป็นทางสาธารณะมาแต่แรกเริ่มที่ก่อสร้าง มีการแบ่งแยกซอยในแต่ละช่วงอย่างชัดเจน ไม่มีการติดป้ายสงวนสิทธิใด ๆ ไว้โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอาจอ้างสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้ประโยชน์บนซอยชูพินิจ ๒ ที่ดินพิพาทหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ ๖๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง และมีคำสั่งห้ามโจทก์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องกับจำเลยในการใช้ซอยชูพินิจ ๒ เป็นทางเข้าออกและใช้ฟันพื้นที่ส่วนหนึ่งตลอดแนวตึกแถวของจำเลยและจดทะเบียนภาระจำยอมให้พื้นที่บนซอยชูพินิจ ๒ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๑๘๕ และ ๑๓๒๘ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ตกเป็นทางเข้าออกและจดทะเบียนภาระจำยอมพื้นที่ดังกล่าวส่วนหนึ่งขนาดกว้าง ๑.๕๐ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ตลอดแนวด้านข้างอาคารพาณิชย์เลขที่ ๒๒๑ ให้เป็นที่วางสินค้าของจำเลยเพื่อจำหน่าย หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์เลขที่ ๒๒๑ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๑๘๖ และ ๒๔๙๐๒ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ ก่อนหน้านั้นจำเลยเข้าประกอบการค้าในอาคารพาณิชย์เลขที่ ๒๒๑ โดยเช่าอาคารดังกล่าวจากเจ้าของเดิม หาได้เข้าอยู่โดยเป็นเจ้าของ โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๒๘ และ ๒๑๑๘๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร เมื่อปี ๒๕๓๖ และปี ๒๕๓๘ ตามลำดับ โจทก์ทั้งสองพบว่าจำเลยตั้งโต๊ะวางเสื้อผ้าจำหน่าย จึงได้ห้ามปรามจำเลยแต่จำเลยเพิกเฉย ในเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ โจทก์ทั้งสองมอบอำนาจให้ทนายความห้ามมิให้จำเลยมาวางโต๊ะตั้งสินค้าบนที่ดินพิพาท แต่จำเลยกลับมีหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๐ โต้เถียงว่ามีสิทธิใช้ที่ดินพิพาท จึงถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นภาระจำยอมตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๐ เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยจึงยังไม่ไดัภาระจำยอมโดยอายุความ โจทก์ทั้งสองไม่ได้อุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยไม่ได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อจะให้เป็นภาระจำยอม ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง และยกฟ้องแย้งจำเลยค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยนำโครงเหล็กออกจากซอยชูพินิจ ๒ ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๑๘๕ และ ๑๓๒๘ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ ๘๒๕ บาท นับแต่วันฟ้อง (๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐) จนกว่าจำเลยจะนำโครงเหล็กออกจากซอยชูพินิจ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๒๘ และ ๒๑๑๘๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร โจทก์ทั้งสองสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว โดยมีถนนอยู่ระหว่างกลางอาคารพาณิชย์ที่สร้าง และให้ชื่อว่าซอยชูพินิจ ๒ ซึ่งเป็นทางพิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์เลขที่ ๒๒๑ ถนนวิจิตร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ด้านหน้าอาคารของจำเลยอยู่ตรงข้ามกับตลาดเทศบาล ด้านข้างที่อยู่ติดซอยชูพินิจ ๒ ซึ่งเป็นทางพิพาทเป็นประตูเหล็กยืดยาวประมาณ ๘ เมตร ทางพิพาทเป็นทางที่ประชาชนใช้เข้าออกระหว่างตลาดเทศบาลกับตลาดสดศูนย์การค้าของโจทก์ทั้งสอง จำเลยอยู่ในอาคารเลขที่ ๒๒๑ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ โดยอาศัยสิทธิการเช่าช่วงจากผู้อื่น และประกอบกิจการค้าขายมาตลอดโดยวางสินค้าที่จำหน่ายบางส่วนในอาคารและบางส่วนนอกอาคารบริเวณทางพิพาท โดยวางห่างจากอาคารร้านค้าของจำเลยประมาณ ๑ เมตร ไปตามแนวยาวของทางพิพาทประมาณ ๑๐ เมตร จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารเลขที่ ๒๒๑ เมื่อปี ๒๕๓๙
มีปัญหาว่า จำเลยได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความหรือไม่นั้นจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยใช้เป็นทางเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะและใช้วางสินค้าเพื่อจำหน่าย เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำโครงเหล็กของจำเลยออกไปจากทางพิพาทเท่านั้น มิได้ห้ามจำเลยใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ จึงถือว่าจำเลยมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิเรื่องการใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนนี้สำหรับการใช้วางสินค้าเพื่อจำหน่ายหรือไม่นั้น เห็นว่า ภาระจำยอมเป็นทรัพย์สิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเรียกว่าสามยทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของอาคารตึกแถวเลขที่ ๒๒๑ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่อยู่ทางพิพาท แต่การที่จำเลยใช้ทางพิพาทวางสินค้าเพื่อจำหน่ายในกิจการค้าของจำเลยนั้น เป็นการใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ ดังนั้นภาระจำยอมจึงไม่อาจเกิดมีขึ้นได้ จำเลยไม่ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทดังอ้าง กรณีไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าจำเลยใช้ทางพิพาทมานานเท่าใด เพราะไม่ทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(อัธยา ดิษยบุตร – ปรีดี รุ่งวิสัย – สมศักดิ์ เนตรมัย)