คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย. แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยจำเลยแม้จะถือมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้มีดฟันผู้เสียหายด้วย ทั้งการที่ ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด จำเลยมิได้เตรียมมีดติดตัวมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ และ ย. ส่งมีดให้จำเลยภายหลังที่จำเลยชก ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้ามแล้วเท่านั้น พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ร่วมเป็นตัวการกับ ย. ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ , ๘๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๒๙๕ จำคุก ๑ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดฟันที่หน้าผากและใบหน้าเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นาย ส. และนาง ส. เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทจนเกิดเหตุชุลมุนต่อสู้กันระหว่างกลุ่มของนาย ส. กับกลุ่มของจำเลยขณะกำลังแห่นาควนรอบโบสถ์ จำเลยต่อยนาย ส. ล้มลง ผู้เสียหายเข้าห้ามปรามแยกจำเลยกับนาย ส. ออกจากกัน นาย ย. พวกของจำเลยส่งมีดปลายแหลมให้จำเลย ๑ เล่ม แล้วนาย ย. ใช้มีดปลายแหลมที่ถืออยู่ฟันผู้เสียหายบริเวณใบหน้า ๑ ครั้ง โดยพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันตรงกันว่า นาย ย. แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยจำเลยแม้จะถือมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้มีดฟันผู้เสียหายด้วย ทั้งการที่นาย ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใดที่จำเลยชกนาย ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้าม จำเลยมิได้เตรียมมีดติดตัวมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ เพียงได้ความว่านาย ย. ส่งมีดให้จำเลยภายหลังที่จำเลยชกนาย ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้ามแล้วเท่านั้น พฤติการณ์ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ร่วมเป็นตัวการกับนาย ย. ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย ส่วนเหตุการณ์ภายหลังที่ผู้เสียหายถูกนาย ย. ใช้มีดฟันแล้วนั้น แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่า ผู้เสียหายวิ่งหลบหนี นาย ย. กับจำเลยถือมีดตามไล่ฟันเพื่อทำร้ายอีก แต่ผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ แต่คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวก็แตกต่างกับคำเบิกความของนาย ส. และนาง ส. พยานโจทก์ กล่าวคือ นาย ส. เบิกความว่า เมื่อนาย ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายแล้ว จำเลยถือมีดไล่ฟันนาย ก. แต่ฟันไม่ถูก จำเลยก็วิ่งหลบหนีไป ไม่เห็นจำเลยใช้มีดไล่ฟันผู้เสียหายแต่อย่างใด และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เห็นนาย ย. วิ่งไล่ติดตามผู้เสียหายไป ส่วนนาง ส. เบิกความว่า เมื่อนาย ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายที่บริเวณใบหน้า ๑ ครั้งแล้ว ผู้เสียหายวิ่งหนีหลังจากนั้นจำเลยกับนาย ย. ก็วิ่งหลบหนีไป และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังจากนาย ส. ชกต่อยกับจำเลยแล้ว จำเลยถือมีด นาย ส. แยกตัวออกไปโดยจำเลยถือมีดวิ่งไล่ติดตาม แต่นาย ส. ไม่ได้ถูกมีดฟัน การที่พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญจนไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับนาย ย. ถือมีดวิ่งติดตามไล่ฟันเพื่อทำร้ายผู้เสียหายอีก จึงไม่อาจบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยเข้ามีส่วนร่วมเป็นตัวการกับนาย ย. กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share