คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เฉพาะการเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพเท่านั้น สัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในประเภทที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องปิดอากรแสตมป์ จึงไม่เข้าลักษณะแห่งตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญาเช่าฉบับแรก และฉบับที่สองคืนแก่โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 15,590,446.24 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามสัญญาเช่าฉบับที่สามเป็นเงิน4,100,000 บาท ให้ร่วมกันชำระค่าเช่าที่ค้างชำระก่อนบอกเลิกสัญญาเช่าทั้งสามฉบับ เบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระค่าเช่า ค่าปรับเนื่องจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงก่อนครบระยะเวลาเช่าตามสัญญารวมเป็นเงิน 7,603,838 บาทให้ร่วมกันชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามสัญญาเช่าฉบับที่สามเป็นเงิน478,093.03 บาท ให้ร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ตามสัญญาเช่าทั้งสามฉบับนับแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน3,735,123 บาท กับค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ตามสัญญาเช่าทั้งสามฉบับในอัตราวันละ 6,164 บาท 9,339 บาท และ 9,907 บาทตามลำดับ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,651,825.04 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ต้องชำระแก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบทรัพย์ที่เช่าหรือใช้ราคาแก่โจทก์ครบถ้วน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถนิสสันดีเซลพร้อมโม่ผสมคอนกรีตจำนวน 6 คัน ตามสัญญาเช่าฉบับแรก คอนกรีตปั๊มแบบติดตั้งพร้อมแขนบูม และรถเทเลอร์สำหรับติดตั้งเรโนลด์จำนวน 1 คันตามสัญญาเช่าฉบับที่สองในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 5,814,522.99 บาท และ 9,775,923.25 บาทให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4,478,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าฉบับแรกและฉบับที่สองในอัตราวันละ4,000 บาท และ 5,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2539 จนกว่าจะส่งมอบทรัพย์ที่เช่าให้จำเลยทั้งสามชำระเบี้ยประกันภัยจำนวน 82,439 บาท และ 343,311 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 และวันที่ 25 มกราคม 2539 ตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสื่อมราคา เบี้ยปรับและค่าปรับรวม6,125,458 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าฉบับแรกและฉบับที่สองในอัตราวันละ 4,000 บาท และ5,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2539 จนกว่าจะส่งมอบทรัพย์ที่เช่าแก่โจทก์ แต่ไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า สัญญาเช่าตามฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เป็นข้อแรก เห็นว่า สัญญาเช่าซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เฉพาะการเช่าที่ดิน โรงเรือนสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพเท่านั้น สัญญาเช่าทั้งสามฉบับตามฟ้องเอกสารหมาย จ.4 จ.5 และ จ.6 เป็นสัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกลซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในประเภทที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาเช่าตามฟ้องทั้งสามฉบับจึงไม่เข้าลักษณะแห่งตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากรฉะนั้น แม้สัญญาเช่าตามฟ้องทั้งสามฉบับจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำเงินประกันการเช่าตามสัญญาเช่าฉบับแรก778,260 บาท ตามสัญญาเช่าฉบับที่สอง 1,749,450 บาท และตามสัญญาเช่าฉบับที่สาม 1,873,650 บาท มาหักออกจากค่าเช่าที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยค่าเสื่อมราคาเบี้ยปรับ และค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสามต้องชำระแก่โจทก์ตามสัญญาเช่าทั้งสามฉบับเสียก่อน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share